เครือข่ายเบื้องหลังนโยบาย ‘สมคิด’
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย เตรียมย่างกรายขึ้นเหนือ-แม่ฮ่องสอน เปิดนโยบายในพื้นที่สีแดงแจ๋ ยากที่ใครจะเจาะเข้า
สมคิด เจ้าของ ว่าที่ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคสร้างอนาคตไทย เดินสายโชว์วิสัยทัศน์-ขายนโยบายไปแล้ว 3 จังหวัด ในช่วงระยะเวลา 2 เดือน หลังจากเปิดตัวรับตำแหน่งประธานพรรค
จังหวัดแรกภูเก็ต สมคิด ประเดิมหมวก ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย คิกออฟ “อันดามันรอด ประเทศไทยรุ่ง” โดยมีตัวแทนผู้ประกอบการภาคธุรกิจ 3 จังหวัดอันดามัน ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ พังงา ร่วมเป็นสักขีพยาน
เป็นการคืนสนามการเมืองของ อดีตรองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจ หลังจากโดนพิษการเมืองในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์-พรรคพลังประชารัฐ
จังหวัดที่สองพัทลุง สมคิดกลับมาเหยียบภาคใต้อีกครั้ง เรียกได้ว่าเป็น “เมืองหลวง” ของพรรคสร้างอนาคตไทยก็เป็นได้ เพราะเป็นการเดิมพันสงครามครั้งสุดท้ายของ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ประธานภาคใต้ – อดีต ส.ส.พัทลุงหลายสมัย
เช่นเดียวกับจังหวัดที่สามอุบลราชธานี เพราะเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายของ “สุพล ฟองงาม” ประธานภาคอีสาน – อดีตขุนพลไทยรักไทย สมคิดจึงเลือกมาเปิดนโยบายพรรคสร้างอนาคตไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมกับการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ
นโยบายใหม่แกะกล่องที่ถูกเปิดออกมา คือ นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอุบลราชธานี การตั้งกระทรวงน้ำ ปุ๋ยคนละครึ่ง สำหรับเกษตรรายย่อย 5 ล้านคน ข้าวหอมมะลิเกิน 15,000 บาทต่อตัน
ขณะที่นโยบายที่สมคิดสร้างไว้ในอดีตสมัยรัฐบาลไทยรักไทยและรัฐบาลคสช.จะนำมาสานต่อ-ต่อยอดให้ดียิ่งกว่าเดิม คือ พักหนี้เกษตรกร 5 ปี-ปล่อยสินเชื่อใหม่ เติมทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ หมู่บ้านโอท็อป พลังงานชุมชน
แม้กระทั้งการต่อยอดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่สร้างชื่อจนติดตลาด โดยจะเปิดตัวมาเป็นของขวัญปีใหม่
ส่วน Big Challenge ที่สมคิดทิ้งคำใหญ่ไว้บนเวที คือ การประมูลคลื่นความถี่ให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม อินเทอร์เนตต้องราคาถูก แต่ละหมู่บ้านมีจุดใช้ฟรี เพื่อให้สาธารณสุข ข้อมูลข่าวสารและความรู้ไปถึงโรงเรียน
รวมถึงแก้ไขกฎหมายล้าสมัย และการแก้รัฐธรรมนูญ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน
“ถ้าพรรคสร้างอนาคตไทยเข้าไปในการเมืองอีกครั้งหนึ่งได้ เราจะกระจายอำนาจของมหาดไทยเป็นจุดแรกเลย งบมากลุ่มจังหวัดต้องหลักหมื่นถึงแสนล้าน ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่ที่มหาดไทยอย่างเดียว”
3 จังหวัดที่สมคิดขายนโยบายเป้าหมายชัดเจน คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพลังงาน และที่ไม่มีไม่ได้ คือ กระทรวงการคลัง
หลังการเลือกตั้งหากพรรคสร้างอนาคตไทยได้เข้าไปเป็นรัฐบาล สิ่งที่สมคิดได้พูดไว้จะลงมือทำทันที คือ การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น-กระจายงบประมาณออกจากส่วนกลาง
สมคิดจะกลัดกระดุมเม็ดแรกด้วยการเเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดใหญ่-เศรษฐกิจใหญ่ก่อนเป็นอันแรกเพื่อนำร่องการระเบิดจากข้างใน
เบื้องหลังชุดความคิดและความมั่นอกมั่นใจของสมคิดที่คิดว่านโยบายที่ทยอยออกมาจะสามารถเปลี่ยนใจคนที่ปักใจขั้วมาเลือกพรรคสร้างอนาคตไทยได้ เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้าสมคิดเชื่อว่าจะตัดสินกันที่ประชาชนเชื่อว่าใครทำได้-ทำไม่ได้
สมคิดพูดร้อยครั้งพันครั้งบนเวทีว่า จะไม่แสวงหาอำนาจ แต่จะแสวงหาคน คนดี ที่นายสมคิดเคยใช้งานและที่รู้จัก จะเอากลับมาทำงาน โดยไม่แบ่งแยกว่า อยู่การเมืองซีกไหน ขั้วไหน ทั้งทางตรงและทางอ้อม
เพราะสมคิดเข้าใจหัวอกของคนที่ถูกอำนาจทางการเมืองบีบให้ต้องเจ็บช้ำ เหมือนเมื่อครั้งสมคิดและกลุ่ม 4 กุมาร ถูกรุกไล่ให้ออกจากรัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐ
นายสมคิดจะดึงทีมงานที่เคยสร้างชื่อไว้เมื่อตอนทำสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) โดยหนึ่งในทีมงานวันนั้นก็คือ “ลูกศิษย์ระดับมันสมอง” นายสุวิทย์ เมษินทรีย์
“ทีมงานสมคิดไม่ได้มีสองคน ทุก ๆ คนที่ทำงานกับผม ที่มีความสามารถ มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ว่าในพรรค ไม่ว่านอกพรรค ไม่ว่าอยู่ในการเมือง หรือ นอกการเมือง ผมจะเอามาช่วยให้หมด”
“สมคิดไม่ใช่เทวดามาจากไหน แต่สมคิดใจเปิด มากคนมากวาสนา คนเก่งคนดีอยู่ที่ไหนเรียกตัวมาใช้ ช่วยกันบริหารประเทศ คนโกงออกไป เอาคนดีเข้ามา ประเทศถึงจะเจริญ”สมคิดพูดทุกเวทีที่มีโอกาส
คนสำคัญที่อยู่ข้างหลังสมคิด เป็นใครไปไมได้ เขาคนนั้น คือ นพ.ประเวศ วะสี ซึ่งนายสมคิดถ่ายทอดความคิดของ “ราษฎรอาวุโส” หลายต่อหลายครั้งในที่สาธารณะและที่รโหฐาน
“พรรคสร้างอนาคตไทยถูกปรามาสว่าเป็นพรรคเล็ก พลังไม่มี แต่อาจารย์ประเวศบอกกับผมว่า พยายามทำในสิ่งที่ประชาชนต้องการ แล้วมวลชนจะอยู่ข้างหลังอาจารย์ ผมเชื่อคำนั้น”สมคิดไปพูดที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
นพ.ประเวศ เป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิสัมมาชีพกิตติมศักดิ์ ขณะที่นายสมคิดก็เป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิสัมมาชีพ เพราะเป็น 2 ผู้ก่อตั้งมูลนิธีสัมมาชีพ ความสัมพันธ์จึงแนบแน่นลึกซึ้ง
เป็นเครือข่ายจากมูลนิธิสัมมาอาชีพ โยงใยกับผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลงกว่า 12 รุ่น ที่สมคิดพร้อมที่จะดึงเข้ามาช่วยงาน ช่วยคิด-ค้นนโยบาย
หมอประเวศเข้ามามีบทบาททางการเมืองหลังเหตุการณ์นองเลือดจากการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 ในฐานะประธานคณะสมัชชาปฏิรูปประเทศ
ราษฎรอาวุโสได้รับตำแหน่งเกียรติยศมากมาย เช่น ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการรัฐ รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ประจำปี 2526 ได้รับเลือกเป็นบุคคลดีเด่นของชาติ สาขาการแพทย์ ได้รับเหรียญดุษฎีมาลาเข็มศิลปวิทยา
ได้รับเลือกเป็นนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ รับเหรียญเชิดชูเกียรติ Tobacco and Health ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รับเหรียญ Comenius และประกาศนียบัตรจากยูเนสโก
นอกจากนี้ยังมีที่ปรึกษาที่พร้อมจะมาอยู่เบื้องหน้า หนุนหลังนายสมคิด คือ “แก้วสรร อติโพธิ” ที่ให้คำแนะนำในเรื่องการปราบปรามคอรัปชั่น
“อาจารย์บางคนรับปากจะมาช่วยผม อาจารย์แก้วสรร บอกว่า อาจารย์จะใช้ผมเมื่อไหร่บอกผม ผมมีแนวคิดในการปราบปรามคอรัปชั่น การเซตราคากลางที่จะประมูลอะไรก็แล้วแต่ สามารถเซตได้ แล้วเอาราคากลางเป็นสแตนดาร์ดในการประมูล”นายสมคิดเปิดคนเบื้องหลังที่จะถูกเปิดหน้าในอนาคต
ขึ้นชื่อว่า “แก้วสรร อติโพธิ” ถือเป็นมือปราบโกง เพราะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) จาก บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)
โปรไฟล์ทางการเมืองแนบแน่นกับเครือข่ายการเมืองการเมืองภาคประชาชน เช่น สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 2539 สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กทม.ปี 2543 เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส.
สมคิด ไม่ได้มาคนเดียวหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่มาพร้อมกับเครือข่ายคนเก่ง-คนดี ที่คบค้าสมาคมทั้งช่วงพาวเวอร์ฟูลในทำเนียบรัฐบาลและในช่วงผู้นำเป็นพิษ