คลัง-ธปท.ร่วมแก้ปมแท็กซี่ พ่วงช่วยเอสเอ็มอี-ลูกหนี้แบงก์
“คลัง-แบงก์ชาติ” ผนึกกำลังแก้วิกฤต “ม็อบแท็กซี่” รวมถึงช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและประชาชนทั่วไป ตั้งแต่มาตรการพักเงินต้นและดอกเบี้ย ถึงจัดหาสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรน ย้ำ! แบงก์รัฐ-เอกชนที่เข้าร่วมมาตรการจะไม่เรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมที่ค้างอยู่ในทันทีเมื่อหมดระยะเวลาพักชำระหนี้
น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะ โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่ผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ สมาคมการค้าเครือข่ายแท็กซี่ไทย นำโดย นายวิฑูรย์ แนวพานิช นายกสมาคมฯ ได้นำรถแท็กซี่สหกรณ์ราชพฤกษ์ จำกัด และกลุ่มบวรแท็กซี่ จำนวนนับ 100 คัน มาจอดที่หน้ากระทรวงพลังงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเยียวยาพักชำระหนี้ช่วยเหลือกลุ่มแท็กซี่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 อย่างรุนแรงเป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี ซึ่งผู้ประกอบการไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยขอให้มีการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย และให้มีการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือปลอดดอกเบี้ยเพื่อนำมาปรับปรุงสภาพรถให้อยู่ในสภาพพร้อมให้บริการนั้น
ล่าสุด กระทรวงการคลัง ได้หารือร่วมกับธปท. และกำหนดแนวทางการช่วยเหลือดังนี้
1. กระทรวงการคลังและ ธปท. ได้มีมาตรการด้านการเงินเพื่อบรรเทาภาระหนี้สินให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ประกอบด้วย…
1.1 มาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย
1.1.1 ลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 เดือน ให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงทั่วประเทศ ได้แก่ ลูกหนี้ทั้งที่เป็นนายจ้างและลูกจ้างในสถานประกอบการในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 10 จังหวัด และนอกพื้นที่ควบคุมแต่ต้องปิดกิจการจากมาตรการควบคุมการระบาดของภาครัฐ เริ่มตั้งแต่งวดการชำระหนี้เดือน ก.ค. หรือ ส.ค. 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สำหรับลูกหนี้ที่ยังเปิดกิจการได้ แต่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการระบาดของภาครัฐ จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ตามความจำเป็นและเหมาะสมกับสถานการณ์ของลูกหนี้
1.1.2 ลูกหนี้ของสถาบันการเงิน โดยพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 2 เดือน ให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ ลูกหนี้ทั้งที่เป็นนายจ้างและลูกจ้างในสถานประกอบการทั้งในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 10 จังหวัด และนอกพื้นที่ควบคุมที่ต้องปิดกิจการจากมาตรการของภาครัฐ เริ่มตั้งแต่งวดการชำระหนี้เดือน ก.ค. เป็นต้นไป สำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยอ้อม ได้แก่ ลูกหนี้ที่ยังเปิดกิจการได้ แต่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการระบาดของภาครัฐ จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ตามความจำเป็นและสอดคล้องกับสถานการณ์ของลูกหนี้
ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ลูกหนี้ในช่วงระยะเวลาที่การระบาดของ COVID-19 ยังมีความไม่แน่นอนสูง สถาบันการเงินที่เข้าร่วมมาตรการจะไม่เรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมที่ค้างอยู่ในทันทีเมื่อหมดระยะเวลาพักชำระหนี้ โดยลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการสามารถติดต่อสถาบันการเงินได้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. เป็นต้นไป
1.2 ธปท. ร่วมกับผู้ให้บริการทางการเงินออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 3 โดยยกระดับมาตรการเดิมให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างเหมาะสม ครอบคลุมสินเชื่อ 4 ประเภทดังนี้
1.2.1 บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยเปลี่ยนเป็นหนี้ระยะยาว หรือลดค่างวด ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้ยาวขึ้น และจ่ายอัตราดอกเบี้ยลดลง
1.2.2 สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยเพิ่มทางเลือกการพักชำระค่างวด และสำหรับลูกหนี้จำนำทะเบียนรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงให้มีทางเลือกในการคืนรถ โดยหากมีภาระหนี้คงเหลือจากการขายประมูล ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถช่วยลดภาระหนี้ให้สอดคล้องกับสถานะของลูกหนี้
1.2.3 เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยเพิ่มทางเลือกการพักชำระค่างวด และสำหรับลูกหนี้จำนำทะเบียนรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงให้มีทางเลือกในการคืนรถ โดยหากมีภาระหนี้คงเหลือจากการขายประมูล ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถช่วยลดภาระหนี้ให้สอดคล้องกับสถานะของลูกหนี้
1.2.4 สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน โดยเพิ่มทางเลือกด้วยการพักเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยบางส่วน และให้ลูกหนี้สามารถทยอยชำระคืนเป็นขั้นบันได (step up) ตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
โดยลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบสามารถแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือได้ถึงวันที่ 31 ธ.ค.นี้ โดย ธปท. ได้ขอให้ผู้ให้บริการทางการเงินให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับสถานะของลูกหนี้ตามมาตรการที่กำหนด รวมทั้งให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมตามนโยบายของผู้ให้บริการทางการเงิน สำหรับลูกหนี้ที่มีศักยภาพ ธปท. สนับสนุนให้ทยอยชำระหนี้อย่างต่อเนื่องเนื่องจากการพักชำระเงินต้นและ/หรือดอกเบี้ย จะยังคงมีการคิดดอกเบี้ยตามระยะเวลาการกู้ยืมอยู่ ซึ่งจะทำให้ภาระการชำระหนี้ของลูกหนี้เพิ่มขึ้นในระยะยาว
2. กระทรวงการคลังได้มีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และยังมีวงเงินโครงการคงเหลือที่ประชาชนและผู้ประกอบการ SMEs สามารถขอรับความช่วยเหลือได้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สถาบันการเงินกำหนด ดังนี้
2.1 ประชาชน
ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 วงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตให้แก่ประชาชนและบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 10,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ 3 ปี ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
2.2 ผู้ประกอบการ
2.2.1 ธนาคารออมสินมีโครงการสินเชื่อฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ขนาดเล็ก และผู้ประกอบการรายย่อยในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและ Supply Chain วงเงินต่อรายไม่เกิน 500,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 3.99 ต่อปี ระยะเวลากู้ 7 ปี ปลอดชำระเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 2 ปี รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธ.ค.นี้
2.2.2 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) มีโครงการสินเชื่อ Extra Cash วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ขนาดย่อมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 วงเงินต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท ดอกเบี้ย ร้อยละ 3 ต่อปี ใน 2 ปีแรก ระยะเวลากู้ไม่เกิน 5 ปี รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธ.ค.นี้เช่นกัน.