ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 10-11 ก.ค. 2566
13 ก.ค.นี้ ดีเดย์ โหวตนายกรัฐมนตรี
เรื่องที่ 2,386 13 ก.ค.นี้ ดีเดย์ โหวตนายกรัฐมนตรี คาดว่าจะมีการเสนอเพียงชื่อเดียว คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคก้าวไกล
ทีนี่มาอ่านเกมกันว่า ในการเลือกนายกรัฐมนตรีวันที่ 13 ก.ค.นี้ อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
1.ยังไม่ทันโหวต แต่มีเสียงคัดค้านพิธา เพราะไม่แน่ว่าคดีความเรื่องคุณสมบัติของพิธานั้น กกต.อาจส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนวันที่ 13 ก.ค. ดังนั้น ก็จะมี ส.ส.หรือ ส.ว.จำนวนหนึ่ง ลุกขึ้นใช้ตรงนี้เป็นข้ออ้างในการคัดค้านไม่ให้มีการโหวตพิธา
2. ส.ว.ไม่โหวตให้ เพราะดูจากสัญญาณแล้ว มีโอกาสสูงที่ ส.ว.จะไม่โหวตให้พิธา โดยอ้างเหตุผลหลักคือ พรรคก้าวไกลมีนโยบายเสนอแก้ไข ม.112 , คุณสมบัติของนายพิธา ซึ่งยังติดค้างคดีการถือครองหุ้นสื่อไอทีวี เป็นต้น
3.โหวตรอบแรกไม่ผ่าน นัดโหวตรอบใหม่ โดยเบื้องต้น นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่ 2 ออกมาบอกแล้วว่า เบื้องต้น ถ้าโหวตรอบแรกไม่ผ่าน จะมีการนัดหมายที่ประชุมรัฐสภาโหวตอีกตั้งในวันที่ 19 ก.ค. และครั้งที่ 3 วันที่ 20 ก.ค.
4.ใช้มวลชนกดดันประเมินว่าหากการโหวตรอบแรกไม่ผ่าน เสียงวิจารณ์ไปยัง ส.ว.จะมีมาก ไม่แน่อาจจะมีการชุมนุมของผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล เพื่อกดดันให้ ส.ว.รวมไปถึงพรรคการเมืองขั้ง 188 เสียง โหวตให้กับพิธา
แน่นอนว่าถ้าโหวตรอบแรกไม่ผ่าน อุณหภูมิทางการเมือง จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
เรื่องที่ 2,387 การซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์ได้กลายเป็นช่องทางหลักไปเสียแล้วในปัจจุบัน เพราะมีควาามสะดวกสบาย และบางครั้งราคาก็ถูกกว่า เพราะผู้ขายไม่มีต้นทุนหน้าร้านที่ต้องจ่าย แต่ก็แอบแฝงมาด้วยความเสี่ยงต่อสินค้าที่ไม่ตรงปกได้ ล่าสุดได้เเห็นข่าวของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือสมอ. ที่ท่านเลขาธิการ “บรรจง สุกรีฑา” ออกให้ข่าวแล้วรู้สึกเสียวๆ
ก็จะไม่ให้รู้สึกแบบนั้นได้เยี่ยงไร เพราะท่านเลขาฯบรรจง บอกว่า ได้ยึดอายัดสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งจากการนำเข้า ผลิต และจำหน่าย เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 52,202,410 บาท โดยสินค้าที่มีการยึดอายัดสูงสุด ได้แก่ สินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มูลค่า 24,397,974 บาท เป็นการยึดอายัดจากแพลตฟอร์มออนไลน์มากที่สุด มีมูลค่าสูงถึง 10,627,043 บาท
เดินไปเลือกเองก็กลัวโควิด ไอ้ครั้นจะสั่งซื้อออนไลน์ก็ยังต้องระแวงของที่ไม่ได้มาตรฐานอีก ยังไงก็ฝากท่านเลขาฯเข้มงวดตรวจตราให้อย่างหนักเลยนะขอรับเจ้านาย
ส่วนนี่ก็ขยันไม่มีหมดแรงจริงๆสำหรับ พี่ปืน “นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์” เลขาธิการ แห่งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ที่ปเพิ่งประกาศตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 6 เดือนแรก ซึ่งมีจำนวน 507 โครงการ เพิ่มขึ้น 33% เงินลงทุน 304,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 141% โดยจีนเป็นประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด 61,500 ล้านบาท จาก 132 โครงการ
ถ้าจำไม่ผิดเป้าหมายของบีโอไอสำหรับยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนปีนี้อยู่ที่ประมาณ 6 แสนล้านบาท ครึ่งปีพี่ปืนก็จัดให้แล้วเกินครึ่ง เชื่อว่าพี่ปืนไม่ทำให้ปิดหวังแน่นอนครับผม
เรื่องที่ 2,388 กลายเป็นประเด็นใหญ่ ผลพวงจากการประมูลนาฬิกาหรู จำนวน 13 เรือน มูลค่ารวมหลายสิบล้านบาทนั้น ล่าสุด “ที่ปรึกษาขร-พันธ์ทอง ลอยกุลนันท์” ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากรต้องออกมาขอโทษและยอมรับความผิดแต่เพียงผู้เดียว ต่อหน้าสื่อมวลชน และผู้ชนะการประมูลที่ผลพิสูจน์แล้วออกมาว่า “นาฬิกาปลอม”
ในฐานะโฆษกกรม ไม่ใช่หัวหน้างานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้งานนี้ “ที่ปรึกษาขร” เป็นหนังหน้าไฟอีกครั้ง หลังจากผ่านพ้นเรื่องร้อน “หมูเถื่อน” 116 ตู้ ไปหยกๆ
ยอมรับว่า เห็นใจและเข้าใจที่ “ปรึกษาขร” ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของ “กู” แต่เมื่อเหตุการณ์บานปลาย ในฐานะน้องของพี่ๆ ทุกคน “ขร” ต้องก้มหน้ายอมกล่าวขอโทษ เข้าใจว่า เกิน 10 ครั้ง แต่ที่นับได้จริงคือ “ยกมือไหว้ถึง 3 ครั้ง” กลายเป็นแพะรับบาปตัวจริง!!
รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะครับ ท่านปลัดคลัง ในอนาคต!! ของผม
สรุปข่าวต่างประเทศ
เรื่องที่ 2,389 เยอรมนีจะส่งทหารไปยังออสเตรเลียเป็นครั้งแรก เพื่อเข้าร่วมในภารกิจซ้อมรบร่วมกับอีก 12 ประเทศ ซึ่งจะมีกำลังพลที่เข้าร่วมซ้อมรบประมาณ 30,000 นาย นับเป็นการเน้นย้ำว่า เยอรมนีมีความสนใจต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางความตึงเครียดกับจีนที่ทวีความรุนแรงในภูมิภาค
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีมีบทบาททางทหารมากขึ้นในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก แต่ก็พยายามสร้างความสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ
“อินโด-แปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญสูงมากสำหรับเยอรมนี เช่นเดียวกับสหภาพยุโรป เนื่องด้วยการพึ่งพากันทางด้านเศรษฐกิจ” พลโทอัลฟอนส์ ไมส์ ผู้บัญชาการกองทัพบกเยอรมนีให้สัมภาษณ์กับข่าวรอยเตอร์ ซึ่งเผยแพร่ในวันนี้ (10 ก.ค.) เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ทหารเยอรมันกลุ่มแรกจะออกเดินทางไปยังออสเตรเลียจีนเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของเยอรมนี และ 40% ของการค้าต่างชาติของยุโรปนั้นไหลเวียนผ่านทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นน่านน้ำที่เป็นจุดศูนย์กลางของข้อพิพาทด้านอธิปไตยเหนือดินแดนในอินโด-แปซิฟิก
เรื่องที่ 2,390 จีนได้ออกมาเรียกให้สหรัฐ “ดำเนินการเชิงปฏิบัติ” เพื่อตอบสนองต่อ “ข้อกังวลสำคัญ” เกี่ยวกับการคว่ำบาตรบริษัทต่างๆ ของจีน หลังจากที่นางเจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐเสร็จสิ้นการประชุมที่ยาวนานกว่า 10 ชั่วโมงกับเหล่าเจ้าหน้าที่อาวุโสของจีน
กระทรวงการคลังระบุผ่านแถลงการณ์ในวันนี้ (10 ก.ค.) ว่า จีนเห็นด้วยที่จะรักษาการแลกเปลี่ยนระดับสูงและการติดต่อสื่อสารทุกระดับในภาคเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ จีนยังได้ “ขอความร่วมมือ” ให้สหรัฐยุติการปราบปรามบริษัทต่าง ๆ ของจีน ยกเลิกการแบนผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับซินเจียง และดำเนินการตอบสนองต่อข้อกังวลของจีนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ สหรัฐได้ดำเนินการคว่ำบาตรบริษัทบางแห่ง จากกรณีการบังคับใช้แรงงานในเขตปกครองตนเองซิน เจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกของจีน อย่างไรก็ตาม จีนได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการบังคับใช้แรงงานและการกดขี่คุกคามทุกกรณี
เรื่องที่ 2,391 เมืองกุ้ยผิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีนได้จัดงานฉลองฤดูเก็บเกี่ยวของเกษตรกรจีน และเปิดงานเทศกาลลิ้นจี่เมืองกุ้ยผิงประจำปี ฟาง ฮุยฮุย รองนายกเทศมนตรีเมืองกุ้ยผิง กล่าวว่า เมืองกุ้ยผิง ให้ความสำคัญกับทั้งปริมาณและคุณภาพของลิ้นจี่ จึงใช้แนวทางการพัฒนาที่ประกอบด้วยการผลิตปริมาณมาก การพัฒนาแบรนด์ และการปรับปรุงพันธุ์ลิ้นจี่ ฟาง กล่าวเสริมว่า เมืองกุ้ยผิงได้ดำเนินการปรับปรุงพันธุ์ลิ้นจี่ในพื้นที่ 80,000 หมู่ (ราว 5,333.33 เฮกตาร์) และนำลิ้นจี่สายพันธุ์พิเศษกว่า 20 สายพันธุ์มาปลูก เพื่อปรับปรุงคุณภาพของลิ้นจี่ในท้องถิ่น
ลิ้นจี่เมืองกุ้ยผิงเป็นที่ต้องการอย่างมากในเทศกาลนี้ บรรดาซูเปอร์มาร์เก็ตและบริษัทโลจิสติกส์ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงและที่อื่น ๆ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายลิ้นจี่ 2,500 ตัน คิดเป็นมูลค่ารวม 30 ล้านหยวน ส่วนยอดขายผ่านการไลฟ์สดออนไลน์มีมูลค่าสูงกว่า 200,000 หยวน และยอดขายโลจิสติกส์ออฟไลน์มากกว่า 800,000 หยวน
ทั้งนี้ เมืองกุ้ยผิงซึ่งได้รับการขนานนามว่า “บ้านเกิดของลิ้นจี่” มีพื้นที่ปลูกลิ้นจี่มากกว่า 200,000 หมู่ (ราว 13,333.3 เฮกตาร์) โดยมีผลผลิตต่อปีมากกว่า 50,000 ตัน และมูลค่าผลผลิตกว่า 600 ล้านหยวน (ราว 82.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
เรื่องที่ 2,392 สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชาออกโรงเตือนเมื่อวันอาทิตย์ (9 ก.ค.) ให้ยูเครนหลีกเลี่ยงการใช้คลัสเตอร์บอมบ์ (cluster bomb) หรือระเบิดลูกปราย หลังสหรัฐประกาศส่งระเบิดลูกปรายให้ยูเครนใช้ต่อสู้กับกองทัพรัสเซีย โดยปัจจุบันกัมพูชายังคงต้องต่อสู้กับเศษซากจากสงคราม
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า กลุ่มนักมนุษยธรรมได้ออกมาประณามการตัดสินใจของสหรัฐในการจัดหาระเบิดลูกปรายให้ยูเครน เนื่องจากระเบิดชนิดดังกล่าวอาจไม่ระเบิดในทันทีและกลายเป็นภัยต่อพลเรือนในอีกหลายปีข้างหน้า
สมเด็จฮุนเซนโพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ว่า “การใช้ระเบิดลูกปรายในพื้นที่ที่รัสเซียยึดครองในดินแดนของยูเครนจะสร้างภัยอันตรายใหญ่หลวงที่สุดสำหรับชาวยูเครนในอีกหลายปี หรือหลายร้อยปีข้างหน้า”นอกจากนี้ สมเด็จฮุนเซนยังได้กล่าวถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของกัมพูชาจากกรณีที่สหรัฐทิ้งระเบิดลูกปรายในกัมพูชาเมื่อช่วงต้นทศวรรษ 1970 ซึ่งทำให้ผู้คนนับหมื่นพิการหรือเสียชีวิตสมเด็จฮุนเซนระบุว่า “เวลาล่วงเลยมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว แต่ยังไม่มีวิธีใดที่จะทำลายระเบิดในกัมพูชาได้หมด” พร้อมกล่าวเสริมว่า “ผมสงสารชาวยูเครน ดังนั้น ผมขอร้องให้ประธานาธิบดีสหรัฐในฐานะผู้จัดหา และประธานาธิบดีสหรัฐในฐานะผู้รับ อย่าใช้ระเบิดลูกปรายในสงครามครั้งนี้ เพราะเหยื่อที่แท้จริงก็คือชาวยูเครนเอง”ทั้งนี้ สหรัฐได้ทำการทิ้งระเบิดหลายล้านลูกใส่กัมพูชาและลาวในช่วงสงครามเวียดนามในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 เพื่อโจมตีฐานของพรรคคอมมิวนิสต์หลังจากสงครามกลางเมืองที่กินเวลายาวนานถึง 30 ปีซึ่งสิ้นสุดลงในปี 2541 กัมพูชาก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีกับระเบิดจำนวนมากที่สุดในโลก
ทั้งนี้ ผลกระทบจากการทิ้งระเบิดของสหรัฐและกับระเบิดที่หลงเหลือจากความขัดแย้งส่งผลต่อเนื่องอย่างยาวนาน โดยชาวกัมพูชาราว 20,000 รายต้องเสียชีวิตในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากเหยียบกับระเบิดหรืออาวุธที่ยังไม่ระเบิด
โดยนพวัชร์