ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 11-12 ต.ค.2564
“เริ่มทยอยเปิดตัวกันแล้ว สำหรับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของเหล่าบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ เริ่มจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เสมอ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ยังอยู่ในอำนาจ มีอิทธิพลต่อประชาชนค่อนข้างสูงขณะที่ พรรคก้าวไกล เสนอ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” มีข้อเด่นตรงภาพลักษณ์ของนักการเมืองยุคใหม่ ได้ใจวันรุ่นคนหนุ่มสาว ขณะพรรคภูมิใจไทยชู “อนุทิน ชาญวีรกูล” นำเสนอภาพของพรรคกลางๆ ที่ไม่มุ่งเน้นประเด็นทางการเมือง แต่เอาจริงเอาจังกับปัญหาของประชาชน และนโยบายที่จับต้องได้ เช่น กัญชา แกร็บถูกกฎหมาย เป็นต้น”
เรื่อง 344 พรรคประชาธิปัตย์ เสนอ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองสูงมากกว่า 30 ปี โดยภารกิจของนายจุรินทร์คือ ทวงคืนพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์เดิมทั้งใน กทม.และภาคใต้ ขณะที่พรรคไทยสร้างไทย เสนอ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ในภาพลักษณ์ของคนประสบการณ์การทำงาน มีนโยบายที่หวือหวาเช่น “บำนาญประชาชน”
ด้าน “พรรคกล้า” เสนอ “กรณ์ จาติกวณิช” ในภาพลักษณ์ของมือเศรษฐกิจ ที่จะสามารถแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนได้ ส่วนพรรคเพื่อไทย ยังไม่เสนอใครเพราะคงต้องรอให้ “พี่โทนี่” เคาะก่อนครับ
เรื่องที่ 345 ใครๆ ก็เตรียมพร้อม ปรับโฉม เติม แต่ง ธุรกิจ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ที่ รัฐบาลได้วางเป้าหมายจะผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30% ของปริมาณการผลิตรถยนต์ 2.5 ล้านคัน ภายในปี 2573 แม้แต่ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ผู้ผลิตและประกอบวงจรไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป ยังโดดเข้ามาขอมีส่วนร่วม ส่วนแบ่งการตลาด ด้วยการเข้าเทคโอเวอร์ บริษัท โทโฮกุ ไพโอเนียร์ (ประเทศไทย) จำกัด สัญชาติญี่ปุ่น เพื่อลุยผลิตอุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ให้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งสัญชาติญี่ปุ่นและยุโรป อย่างเต็มตัว
เรื่องที่ 346 จัดการได้เร็ว เรื่องก็จบเร็ว กรณีที่มีควันพวยพุ่งออกมาบริเวณโรงกลั่นน้ำมันบางจาก เขตคลองเตย เมื่อ 11 ต.ค.2564 เวลา 16.00 น. ที่ผ่านมา บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก็ไม่รอช้ารีบออกหนังสือชี้แจงทันทีในเวลา 16.05 น.วันเดียวกัน โดยแจ้งว่า ควันพวยพุ่งออกมา เกิดจากระบบไฟฟ้าขัดข้อง ทำให้โรงกลั่นต้องหยุดทำการชั่ว ขณะ เพื่อความปลอดภัย เป็นผลให้เกิดกลุ่มควันจากการเผาก๊าซส่วนเกินจากการผลิตออกมาอย่างที่เห็น เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปควบคุมแก้ไขกระทั่งระบบไฟฟ้าภายในโรงกลั่นได้กลับสู่ภาวะปกติและไม่มีกลุ่มควัน.. เรียกว่า เบรก อาการแตกตื่นของประชาชนได้ทันท่วงที ชุมชนบริเวณใกล้เคียง ก็โล่งอก ไม่ต้องหนีตายเหมือนเหตุการณ์ไฟไหม้ “หมิงตี้”
เรื่องที่ 347 ไม่มีใคร ไม่รู้จัก “อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์” CEO เถ้าแก่น้อย จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา“อิทธิพัทธ์” บอกว่า มีผลการทบต่อการผลิตมาก ทำให้ บริษัทได้ปรับมาตรการเชิงรุก โดยให้ความสำคัญในมาตรการป้องกันโรคในพื้นที่เฉพาะหรือ Bubble and Seal เพื่อป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิดจนได้รับเกียรติบัตรสถานประกอบกิจการที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาอยุธยาโมเดล ที่สำคัญยังได้เป็นโรงงานต้นแบบมาตรฐานในการจัด การป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ภายใต้ “เศรษฐกิจเดินหน้า อยุธยาปลอดภัย ทุกภาคส่วนร่วมใจ ห่างไกลโควิด” จากหน่วยงานราชการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อีกด้วย
“อิทธิพัทธ์” ยังบอกว่า มาตรการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิด อย่างเข้มงวดนี้ ทำให้ลูกค้าต่างมั่นใจความปลอดภัยส่งผลให้ตอนนี้มียอดสั่งซื้อ สินค้าทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องขยายกำลังการผลิต ติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพื่อรองรับคำสั่งซื้อสินค้าจากประเทศจีนที่เพิ่มขึ้น ต้องของแสดงความยินดีด้วยที่ธุรกิจฟื้นกลับมาได้เร็ว มาตรการ “Bubble and Seal” ใครบอกไม่ได้ผลขอให้ ดู เถ้าแก่น้อย เป็นตัวอย่าง ก็แล้วกัน…
เรื่องที่ 348 ทฤษฎี “สมรู้ร่วมคิด” ระหว่าง ร้านค้าขี้โกงกับผู้ใช้สิทธิ “เราชนะ” ที่เห็นแก่ได้ ถูกตั้งคำถามมาตั้งแต่แรกเริ่มมีโครงการฯ นี้แล้ว แม้ กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะบูรณาการร่วมกับหน่วยปราบปราบฯ โดยเฉพาะตำรวจเศรษฐกิจอย่าง “ปอศ.” ไล่ล่าและตามจับมาตลอดระยะเวลากว่าปีเศษ กระทั่ง โครงการ “เราชนะ” จบลงไปนานแล้ว แต่ผลแห่งคดีความยังคงมีอยู่ ล่าสุด “โป๊ะ-พรชัย ฐีระเวช” ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ออกมาพูดถึงคนในกระบวนการนี้ เฉพาะร้านค้าขี้โกงพบแล้วกว่า 2,000 ราย นาทีนี้ สศค.ส่งหนังสือไปถึงร้านค้าเหล่านั้น เปิดโอกาสให้ได้ชี้แจงและส่งคืนเงินภาษีที่ “สมรู้ร่วมคิด” กันโกงไปกลับคืนสู่แผ่นดิน ให้เวลา 15 วัน หากยังนิ่ง สศค.ก็ยังใจดี ให้โอกาสส่งหนังสือเตือนอีกครั้ง แต่หากจบจากขั้นตอนนี้ไป…ก็ต้องเป็นคดีความเท่านั้น
เห็น “พรชัย” ทำหน้าที่ในบทบาทนี้ ถือว่า “แรง!” ได้ใจคนเป็น “กองเชียร์” โดยเฉพาะ “ปลัดตู่-กฤษฎา จีนะวิจารณะ” เพราะคนส่วนใหญ่ในเมืองไทย ไม่อยากเห็น “คนโกง-ลอยนวล” ในเมื่อให้โอกาสกันขนาดนี้ จนผ่านขั้นตอนแรก “ระงับสิทธิและให้ชี้แจง” ถึงปัจจุบัน ในขั้นตอนที่ 2 “คืนเงินและส่งหนังสือชี้แจงกลับภายใน 15 วัน” และหากผ่านขั้นตอนที่ 3 คือ “มีหนังสือเตือนฉบับสุดท้าย” ไปถึงแล้ว ยังคงนิ่งเฉยกันอีก! คงต้องเชียร์ให้ สศค.ทำงานแทนกระทรวงการคลังและรัฐบาล เอาผิดและเรียกคืนเงินโกงกลับคืนคลังแผ่นดินเป็นด่วน! เหตุเพราะเงินเหล่านี้ ล้วนเป็นภาษีของประชาชนทั้งนั้น แถมบางส่วนยังอาจจะต้องเอาไปสมทบกับเงินงบประมาณเพื่อนำไปจ่ายคืน “หนี้เงินกู้” ทั้งก้อนเก่า 1 ล้านล้าน และก้อนใหม่ที่จ่อจะกู้เพิ่มอีก 5 แสนล้าน ถึงเงินที่ได้จากการเรียกคืนกับร้านค้าในโครงการเราชนะจะมีไม่มาก แต่มันก็คือ “เงินแผ่นดิน” ที่ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้! ประมาณว่า “เงินแผ่นดิน สตางค์แดงเดียวก็สูญหายไม่ได้เด็ดขาด!” ส่วนร้านค้าและประชาชน ซึ่งอยู่ในข่าย “คนร่วมโกง” จะโดยตั้งใจหรือเพราะรู้เท่าไม่ทัน ก็ดี หากยอมรับผิด คืนเงินให้ เชื่อว่า โทษคงไม่หนักถึงเท่ากับพวกที่ “ตั้งใจมาโกง” ล่ะมั้ง รึไง?
เรื่องเอาผิดคนโกงและเรียกเงินคืนก็ว่ากันไป แต่กับโครงการรัฐอื่นๆ อย่าง “คนละครึ่งเฟส 3” ช่วงที่ 2 ยังต้องเดินหน้ากันต่อเป็นวันที่ 11 ถึงนาทีนี้ ยอดใช้จ่ายสะสมในโครงการคนละครึ่ง ถือว่าเขยิบได้ไม่เยอะ ทั้งตัวเงินและจำนวนผู้ใช้สิทธิ โดยจำนวนเงินที่ใช้จ่ายสะสมรวม 87,124 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายสะสม 44,291 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 42,832 ล้านบาท ขณะที่ผู้ใช้สิทธิ…ก็ยังไม่ถึง 25 ล้านสิทธิ จากทั้งหมดที่ได้ลงทะเบียนฯ เอาไว้ 27 ล้านสิทธิ มีช่องเหลือให้กับคนที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการในเฟสนี้อีกกว่า 350,000 สิทธิ ลงทะเบียนรับสิทธิผ่าน จะได้ควบช่วงแรกและช่วงที่ 2 รวม 3,000 บาทไปเลย ส่วนโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ไม่อยากพูดถึง เพราะถูก “คนระดับบน” นอกกระทรวงฯ บางคน “แปลงสาร” เสียจนหมดสิ้นเสน่ห์ ยอดใช้จ่ายและจำนวนผู้ใช้สิทธิ จึงขยับแทบไม่เขยื้อน เอาเป็นว่า หมดเวลาโครงการนี้ ก็ให้มันจบๆ ไปแบบไม่ต้องปัดฝุ่นกันอีกแล้วกัน ปัดโธ่โวย!!
โดย นพวัชร์