ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 24-25 ก.ย.2564
“ภาพความขัดแย้งของ 2 พี่น้อง “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และ “บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น หลังการลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมเมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา นับกันที่จำนวน ส.ส.ที่ไปต้อนรับ “บิ๊กตู่” อยู่แค่ 12 คน ส่วนที่ไปต้อนรับ “บิ๊กป้อม” มีถึง 55 คน ภาพจึงออกมาเหมือนการวัดพลังของ 2 ป. มากกว่าไปลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน”
เรื่องที่ 273 แม้ทั้ง “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม” จะออกมายืนยันว่า ไม่ได้มีความขัดแย้งกัน กระนั้นสื่อมวลชนก็พยายามขุดเจาะจนดูเหมือนจะมีความขัดแย้งกันจริงๆเสียแล้ว เพราะขณะเดียวกัน ทั้ง 2 ป. ก็ไม่ยอมออกมาตอบปฏิเสธ หรือพูดให้สังคมเกิดความเข้าใจอย่างกระจ่างว่า ไม่มีปัญหากัน พร้อมทำงานร่วมกัน และในอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ ยังจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐอยู่เช่นเดิม เหล่านี้ไม่มีคำตอบ
ด้วยเรื่องราวสับสนวุ่นวายสารพัดนี้เอง ทำให้ถูกมองว่า หรือรัฐบาลนี้จะอายุสั้น อาจอยู่ได้ไม่นานอย่างที่คิด ตามสูตรที่ว่า ไม่มีใครล้มล้างอำนาจของรัฐบาล หรืออำนาจของ 3 ป. ได้ ยกเว้นคนในรัฐบาลหรือ 3 ป. จะแตกคอกันเองจนนำไปสู่การยุบสภา เลือกตั้งใหม่
เรื่องที่ 274 กรณีลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นถังสารเคมีขนาด 200 ลิตร จำนวน 300-400 ถัง ในจังหวัดลพบุรี ที่ส่งผลให้มีสารปนเปื้อนในดินและน้ำ สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน ในพื้นที่ บ้านดีลัง อ.พัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ที่ไม่รู้ขนมาทิ้งสะสมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะจำนวนถังสารเคมี มีมากจนน่าตกใจ ที่ผ่านมาได้มีเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วย งานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบกันต่อเนื่อง..
ล่าสุด กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ร่วมกับ สนง.อุตสาหกรรมจังหวัดลพบุรี และเจ้าหน้าที่ ท้องถิ่น อีกรอบ เพื่อทำขุดสำรวจเพื่อพิสูจน์ชนิดของสารเคมี และจากขุดสำรวจเบื้องต้น เจ้าหน้าที่พบว่าสิ่งปฏิกูลที่พบมาจากโรงงานอุตสาหกรรม แต่จะมาจากที่ไหนนั้น ขณะนี้ต้องรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อนำไปเป็นหลักฐานชี้ชัดในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด
เบื้องต้น กรอ.ได้แจ้งความกับ สภ.พัฒนานิคม ด้วยความผิดฐานการครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 23 วรรค 1 และมาตรา 73 พ.ร.บ. วัตถุอันตรายพ.ศ. 2535 แล้ว แต่ไม่รู้จะใช้เวลาอีกนานแค่ไหน คดีจะจบสิ้น หาผู้กระทำความผิดมารับผิดชอบได้ และที่ ชาวบ้านต่างกังวล คือ เงินหลายร้อยล้านบาทที่ต้องนำมาใช้ฟื้นฟูกำจัดสารอัน ตรายในพื้นที่ หากผู้กระทำความผิดไม่มี แล้วจะทำอย่างไรต่อไป ท่านใดตอบได้ ช่วยตอบที
เรื่องที่ 275เพิ่งจะคุยเรื่องราคาน้ำมันไปเมื่อวัน สองวันที่ผ่านมา ว่ามีแนวโน้มจะแพงขึ้น เพราะโควิด เริ่มคลี่คลาย หลายสำนักด้านพลังงานระบุตรงกัน แนวโน้มการใช้พลังงาน การใช้น้ำมันทั่วโลก กำลังเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันในบ้านก็ปรับตัวขึ้นทันที เมื่อ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา ราคาน้ำมัน ดีเซล –เบนซิน ทะลุ 30 บาทต่อลิตรไปเป็นที่เรียบร้อย วันนี้ ดีเซล B7อยู่ที่ลิตรละ 30.29 บาท ส่วน แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ลิตรละ 30.08 บาท ขนาดโควิด เพิ่งจะเริ่มคลี่คลายนะเนี้ย ถ้าได้เดินทางท่องเที่ยวกันตามปกติ ไม่อยากจะคิด ราคาน้ำมันจะทะลุไปไหนกันละหนอ…
เรื่องที่ 276 เห็นแตกต่าง…ไม่ได้แตกแยก! มุมที่ “วิทัย รัตนากร” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน จัดแคมเปญปัดฝุ่นเงินกู้ “สินเชื่อไทรทองอเนกประสงค์” เปิดทางให้ลูกค้าและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ “รีไฟแนนซ์” เน้นการ “กู้ใหม่” ที่ได้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไปชำระ “หนี้เก่า” ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงกว่า มองประสาคนทั่วไปก็น่าจะเป็นสิ่งดี แต่กับมุมของ “ฉัตรชัย ศิริไล” เอ็มดี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กลับเห็นต่าง ใช่ว่าการ “รีไฟแนนซ์” จะดีเลิศหรูทุกเรื่อง แน่นอนว่าลูก ค้าที่ “กู้ใหม่” ย่อมได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าแน่ แต่หากไม่สอนให้รู้จักคิด เดี๋ยวจะติดเป็นนิสัย พากัน “กู้ใหม่” อยู่ร่ำไป หนี้สินไม่หมดเสียที! ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ก้อนเก่าหรือก้อนใหม่ ทุกๆ การ “รีไฟแนนซ์” ก็ไม่ได้ทำให้หนี้ก้อนที่มีลดลงไป แล้วหากยังคิดไม่เป็น เห็นว่าได้รับดอกเบี้ยถูกแล้วจะไปก่อหนี้เงินต้นก้อนใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะย่ามใจหรือไม่ก็ใช้จ่าย “ส่วน ต่างดอกเบี้ยที่ถูกลง” หมดไปกับพฤติกรรมฟุ่มเฟือย “ฉัตรชัย” ไม่มองเห็นว่าจะเป็นผลดีต่อลูกหนี้ อย่างว่า…เหรียญมี 2 ด้านเสมอ! ขึ้นอยู่กับลูกหนี้และประชาชนแล้วว่า…จะเลือกอย่างไหนที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด!
เรื่องที่ 277 ฮ๊อตไม่เลิก! จริงๆ สำหรับ คปภ. ภายใต้การนำของ “สุทธิพล ทวีชัยการ” เลขาธิการ คปภ. วันก่อนเพิ่งเขียนถึงมาหยกๆ ผ่านมาแค่ไม่กี่วัน มีเรื่องให้ต้องเขียนถึงได้อีกจาก 7 มาตรการผ่อนผัน ที่สำนักงาน คปภ.ได้สร้างออกมาเพื่อช่วยให้บริษัทประกันภัยที่มีการรับเคลมประกันภัยโควิดฯ ไม่ต้องตกอยู่ในโหมด “สูญสภาพคล่อง” มีตั้งแต่ ยกเว้นการคำนวณเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงฯ, ยอมให้นับเงินกู้ยืมด้อยสิทธิ์มาเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2, ผ่อนผันการดำรงอัตราส่วนเงินกอง ทุนขั้นที่ 1 ขั้นต่ำ และอีกเงื่อนไขผ่อนปรนที่ล้วนเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจประกันภัยในภาพรวม ซึ่งจะส่งต่อถึงความเชื่อมั่นของประชาชน รวมถึงภาพลักษณ์ของบริษัทประกันภัย และสำนักงาน คปภ. ในฐานะ “เรคกูเรเตอร์” ที่มีหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจประกันภัย ด้วยความคาดหวังจะเห็นทุกฝ่าย “วิน-วิน-วิน” กับสถานการณ์ที่ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่อาจคาดเดาถึงความเลวร้ายและจุดสิ้นสุดของการแพร่ระบาดไวรัสโควิดฯได้ จึงร่วมกันเรียนรู้จากความผิดพลาดในครั้งนี้
ล่าสุด บอร์ด คปภ. ภายใต้การนำของ “กฤษฎา จีนะวิจารณะ” ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานบอร์ดฯ มีมติจากการประชุมฯครั้งที่ 10/2564 เมื่อ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา สรุป! ให้ “สุทธิพล ทวีชัยการ” ใช้อำนาจในฐานะ “นายทะเบียน” มีคำสั่งให้ บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 หยุดรับประกันภัยวินาศภัยเป็นการชั่วคราว นับแต่วันที่บอร์ด คปภ. ได้จัดประชุมฯ เรื่องของเรื่อง เป็นเพราะ บมจ.เอเชียประกันภัยฯ ไม่อยู่ในสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง พูดง่ายๆ มีฐานะการเงินที่ที่ไม่มั่น คง มีสภาพคล่องไม่เพียงพอต่อการนำไปจ่ายค่าสินไหมทดแทน โดยเฉพาะปม “ประกันโควิดฯ” ให้กับประชาชนผู้เอาประ กันภัยได้
หากลงลึกถึงสารพัดกองทุนฯที่ธุรกิจประกันภัยจะพึงมี ยังพบว่า…บมจ.เอเชียประกันภัยฯ มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นว่าจะชำระหนี้ตามภาระผูกพันที่มีกับประชาชนผู้เอาประกันภัย ตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประเด็นอื่นๆ ที่ล้วนส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพรวมธุรกิจประกันภัย จึงนำมาซึ่ง “คำสั่งนายทะเบียน” ในแบบที่ไม่เกินความคาดหวังของคนในแวดวงประกันภัยมากนัก มาลุ้นกันต่อว่า นอกจาก บมจ.เอ เชียประกันภัยฯ แล้ว ยังจะมีรายอื่นๆ ตามมาอีกหรือไม่? งานนี้…ห้ามกระพริบตา! เพราะวงเงินที่บริษัทประกันภัยต่างๆ ที่จะต้องควักจ่ายเป็นค่าเคลมประกันภัยโควิดฯ ยังเหลือในส่วนที่รอจ่ายและยังไม่ได้จ่ายรวมกันอีกราวๆ 10,000 ล้านบาท มาลุ้นกันว่า ใครจะเป็นรายต่อไป!!!.
สุดท้ายเรื่อง 278 ที่น่าเป็นห่วงและติดตามอย่างใกล้ หวังว่า คงไม่ลืมกัน กรณี “โกงภาษีมูลค่าเพิ่ม” เกือบ 4,000 ล้านบาท ล่าสุด “พี่เอ๊าะ-สาธิต รังคสิริ” อดีตอธิบดีกรมสรรพากร หลังจากถูกศาลตัดสินว่า “มีความผิด” ตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค.2564 จนถึงปัจจุบัน ยังไม่ได้ประกันตัว เนื่องจากศาลชี้อัตราโทษสูง “จำคุกตลอดชีวิต” ปล่อยไปเกรงจะหลบหนี เรื่องนี้กลายเป็นคดีดัง และเป็นตัวอย่างที่ต้องจดจำ คดีของ “พี่เอ๊าะ” แน่ชัดว่า ไม่ได้ทำเพียงคนเดียวแต่ยังมีอดีตเจ้าหน้าที่กรม สรรพากรหลายคนเข้าไปเกี่ยวข้อง ที่ไม่น่าเชื่อคือ ยังมีเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรอีกหลาย ที่อยู่ระหว่างการไต่สวน ตามกระบวกการยุติธรรม ทำให้กรมสรรพากรช่วงเวลานี้ บรรยากาศร้อนๆ หนาวๆ กระแสลมแรงๆ มาพร้อมข่าลือ “ปลด” เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ
ล่าสุดกระทรวงการคลังตั้งแต่โยกย้ายข้าราชการระดับบริหารเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว แต่คนปล่อยข่าวยัง “ย้ำคิด-ย้ำทำ” นำ เสนอประเด็นความแตกร้าวภายในองค์กร ย้าย “เอกนิติ” ไปนั่งเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) หรือไม่ก็ย้ายข้ามห้วยไปนั่งเลขาธิการ สศช.ก็ได้ แนวคิดแบบนี้ แบ่งออกเป็น 3 ก๊กใหญ่ๆ กับอีกหลายสิบก๊วน แต่ ณ ที่นี้ เน้นก๊กใหญ่ไม่นับ ก๊วนนะครับ
ก๊กที่ 1 คือ ลูกน้องและคนที่มีส่วนได้เสียกับคดี “สาธิต” ที่ยังนั่งทำงานวนเวียนอยู่ในกรมสรรพากร “เช้าชามเย็นชาม” ไม่ ได้เดือดร้อนอะไร หากผลการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ และยังมีบางคนอยู่นอกกรมแต่อิทธิพลมากล้นค่อยเชียร์ให้ปั่นป่วนได้ทุกเมื่อ ก๊กที่ 2 คือ ลูกน้องเก่าอดีตอธิบดี ก๊กคนเยอะจริง เส้นสายเพียบ พลังก็มาก กลุ่มนี้ น่าถูกจับตามากที่สุดเพราะใหญ่จริงๆ ส่วนก๊กที่ 3 คือกลุ่มสุดท้าย ทำงานเก่ง ไม่พูดมาก ได้รับโปรโมทจากอธิบดีกรมสรรพากรคนปัจจุบัน
เรื่องที่ 278 เอาไปอ่านเล่นๆ ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และคิดทบทวนให้ดีว่า ตัวเองเป็นข้าราชการกรมสรรพากร จะอยู่ก๊กไหน หรือเลือกที่จะอยู่ก๊กที่มีชื่อว่า “ซื่อสัตย์และสุจริต” ต้องตัดสินใจกันเอาเองครับ.
โดย นพวัชร์