ยอดขายบาร์บี้ร่วง
ยอดขายตุ๊กตาที่เคยเป็นขวัญใจของเด็กหญิงทั่วโลกอย่างบาร์บี้ร่วงลงถึง 13% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ทำให้ยอดขายโดยรวมของบริษัทแมทเทลซึ่งเป็นบริษัทของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลกตกต่ำลงเกินคาดการณ์
นับเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันที่ยอดขายตุ๊กตาบาร์บี้ดิ่งร่วง ที่ผ่านมา บาร์บี้เป็นสินค้าสำคัญของบริษัทมาเป็นเวลานานเกือบ 6 ทศวรรษ
บริษัทแมทเทลรายงานว่า ยอดขายลดลง 15.4% ลงมาอยู่ที่ 735 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาสแรกที่สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เป็นตัวเลขยอดขายที่ดิ่งเหวมากที่สุดของบริษัทนับตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา และคาดการณ์ว่าอาจจะขาดทุนถึง 801 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ยอดขายตุ๊กตาบาร์บี้ปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 จากความพยายามด้านการตลาดและการออกตุ๊กตาที่มีสีผิวและรูปร่างที่แตกต่างกันมาวางจำหน่ายเพิ่มขึ้น
โดยความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการรับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า ตุ๊กตาแบบบาร์บี้สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่เป็นความจริงเกี่ยวกับรูปร่างให้กับเด็กผู้หญิง
ทางบริษัทแมทเทลแถลงเมื่อปีที่แล้วว่า รูปร่างตุ๊กตาใหม่เป็นการเสนอทางเลือกมากขึ้นที่สะท้อนโลกที่เราเห็นในปัจจุบัน
ทางแมทเทลจำเป็นต้องลดราคาเพื่อล้างสต็อกสินค้าที่ตกค้างมาตั้งแต่ช่วงเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเมื่อรวมกับยอดขายที่ลดลงในไตรมาสแรกจะทำให้มียอดขาดทุนถึง 113.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่ายอดขาดทุนเดิม 73 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
โดยหุ้นของแมทเทลร่วงลงมามากกว่า 6% หลังจากเปิดตลาดซื้อขายในนิวยอร์กไม่กี่ชั่วโมง และร่วงลงมาถึง 1 ใน 4 แล้วในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
มาร์โก จอร์เจียดิส ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอเมื่อเดือนก.พ.กล่าวว่า “ สิ่งที่เราไม่ได้คาดการณ์ไว้คือ ผลกระทบในระยะยาวจากสินค้าคงเหลือ ซึ่งจะถูกส่งแยกไปที่อเมริกาเหนือและตลาดไม่กี่แห่งในยุโรป ”
อดีตประธานกูเกิลในอเมริกามีแผนจะพัฒนาของเล่นไฮเทคเพิ่มขึ้นเพื่อวางขายในอีก 2 -3 ปีหน้า รวมถึงการแผ่ขยายอาณาจักรธุรกิจในเอเชีย
ที่ผ่านมา บริษัทแมทเทลพยายามที่จะเพิ่มยอดขายในจีนโดยได้มีการทำข้อตกลงกับบริษัทยักษ์ใหญ่ออนไลน์อย่างอาลีบาบา
ขณะเดียวกัน คู่แข่งรายสำคัญอย่าง Hasbro กำลังมีความสุขกับความสำเร็จ หลังจากชนะได้สิทธิ์ในการขายของเล่นชุดเจ้าหญิงดิสนีย์ รวมถึง เอลซา ในภาพยนตร์อนิเมชั่นดังอย่าง Frozen เมื่อสัญญาที่มีกับแมทเทลหมดอายุในปีที่แล้ว
ในเดือนมี.ค. ทางบริษัทเพิ่งรายงานยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 52% ในแผนกของเล่นเด็กหญิงช่วงเทศกาลวันหยุด ส่งผลให้หุ้นของบริษีทดีดขึ้นมาทำสถิติสูงสุด.