SIRIทำตลาดปล่อยเช่าแนวราบรับดีมานด์จีน
“แสนสิริ”วิเคราะห์ศักยภาพประเทศไทยหลังโควิด-19 แข็งแกร่ง พฤติกรรมคนไทยมองหาบ้านหลังที่ 2 ไซต์ใหญ่รับวิถีใหม่ จับตากลุ่มลูกค้าชาวจีน กลับมา พร้อมทำตลาดปล่อยเช่าบ้านจัดสรร
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงชะลอตัวและมีหลายปัจจัยลบจำนวนมาก ทำให้บริษัทต้องทบทวนแผนลงทุนใหม่ จากเดิมต้องเปิด 18 โครงการใหม่ มูลค่า 24,000 ล้านบาท ปรับลดลงมาเหลือ 15 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท โดยเปิดในช่วงครึ่งปีแรกไป 3 โครงการ มูลค่า 3,100 ล้านบาท และครึ่งปีหลังเปิด 12 โครงการ มูลค่า 16,900 ล้านบาท
“แสนสิริมองว่า ในช่วงครึ่งปีหลังตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยวิเคราะห์จากดีมานด์ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ และจากเทรนด์อยู่อาศัยที่คนไทยต้องการมีบ้าน 2 หลัง ทั้งคอนโดฯที่อยู่ในเมือง เพื่อการเดินทางทำงานที่สะดวก ขณะที่ยังมีความต้องการบ้านชานเมืองเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนที่มีความปลอดภัยมากกว่า ยังรวมถึงการเปลี่ยนไปของพฤติกรรมการใช้ชีวิตในรูปแบบ Work From Home ที่ทำให้ดีมานด์ของบ้านแนวราบเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ กลุ่มลูกค้าบางกลุ่มเริ่มมองหาบ้านหลังใหญ่ ที่สามารถรองรับระยะห่างได้ หรือต้องการแยกครอบครัวออกจากครอบครัวใหญ่ เพื่อจะได้มีพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น”
นอกจากนี้ แสนสิริมองว่า ดีมานด์ที่อยู่อาศัยในตลาดต่างชาติจะกลับมา โดยเฉพาะชาวจีนที่จะมองหาบ้านหลังที่ 2 ทั้งนี้ จากการรับมือที่ดีในสถานการณ์ที่ผ่านมา ทำให้ทั่วโลกเล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งของประเทศไทยในการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 จึงเป็นโอกาสที่แสนสิริจะมุ่งเจาะกลุ่มตลาดต่างชาติ ที่ต้องการเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบบ้านหรือทาวน์โฮม ในรูปแบบเช่าระยะยาว 30 ปี และบวกเพิ่ม 30+30 ปี เป็น 90 ปี โดยช่วงที่ผ่านมา สามารถขายโครงการบุราสิริ สันผีเสื้อ จ.เชียงใหม่ ในรูปแบบLeasehold ได้ถึง 40 ยูนิต จากชาวจีน และจากแนวโน้มดีมานด์บ้านแนวราบ แสนสิริจึงเปิดตัว “Sansiri Housing Evolution” ที่มุ่งพัฒนาอสังหาฯให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการทุกเซกเมนต์ โดยเป้ายอดขายแนวราบปีนี้ 18,000 ล้านบาท ซึ่งในเป้า 3 ปีข้างหน้าจะมียอดขาย 1.2 แสนล้านบาท
ในเรื่องของยอดขายในปี 2563 นั้น จากกลยุทธ์การทำตลาดในรูปแบบ Speed to Market ด้วยการออกแคมเปญแรงๆ เช่น “ผ่อนให้ 24 เดือน” และการลดราคาในบางโครงการ เพื่อเร่งปิดการขาย ทำให้สามารถปิดการขาย 19 โครงการเก่าได้ ส่งผลให้เดือนเมษายนที่ผ่านมา ยอดขายสินค้าในทุกประเภทรวมกันเฉลี่ยกว่า 1,000 ยูนิตต่อสัปดาห์
“ยอดขายที่เติบโต ส่งผลให้บริษัทปรับเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นจาก 29,000 ล้านบาท เป็น 35,000 ล้านบาท ขณะที่ตัวเลขยอดโอนล่าสุดอยู่ที่18,200 ล้านบาท และยังมี Secure backlog ในมือที่เตรียมโอนแล้ว 16,200 ล้านบาท รวมเป็น 34,200 ล้านบาท ทำให้บริษัทได้ปรับเป้าหมายยอดโอนจากเดิม 33,000 ล้านบาท ปรับเป็น 39,000 ล้านบาท เท่ากับว่า มีเป้าหมายต้องโอนเพิ่มอีก 4,600 ล้านบาท คาดว่าดำเนินการได้ตามเป้าที่วางไว้”.