อิตาลีเริ่มคลายล็อกดาวน์ 4 พ.ค.
โรม – เมื่อวันที่ 21 เม.ย. นายกรัฐมนตรีจูเซปเป คอนเต แห่งอิตาลีเตรียมจะประกาศแผนการก่อนสิ้นสัปดาห์นี้ในการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ที่บังคับใช้เป็นมาตรการฉุกเฉินเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค.
โดยมาตรการล็อกดาวน์ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค. ทำให้มีการปิดธุรกิจส่วนใหญ่ในประเทศและป้องกันไม่ให้ประชาชนออกจากบ้าน โดยจะออกได้เฉพาะการทำธุระสำคัญ เช่น การซื้ออาหาร ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของอิตาลี ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของยูโรโซน
“ ผมปรารถนาที่จะพูดได้ว่า มาเปิดทำการทุกอย่างกันทันทีเลย เราเริ่มได้ตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าเลย แต่การตัดสินใจเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ มันอาจทำให้มีการแพร่ระบาดมากขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ และทำให้ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดของเราจนถึงตอนนี้ต้องสูญเปล่า” นายกฯคอนเตโพสต์ระบุบนเพจเฟซบุ๊ก
“ เราต้องปฏิบัติตามพื้นฐานแผนการเปิดประเทศ ซึ่งลักษณะเฉพาะเป็นพิเศษ”
หลังจากรัฐบาลปิดธุรกิจที่ไม่สำคัญต่อซัพพลายเชนในวันที่ 22 มี.ค. มีเสียงเรียกร้องดังมากขึ้นจากหลายภาคส่วนอุตสาหกรรมให้รัฐบาลสั่งเปิดธุรกิจให้เร็วขึ้น เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศซบเซาตกต่ำลงไปมากกว่านี้
กระทรวงการคลังของอิตาลีคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลงประมาณ 8% ในปีนี้ จากสองแหล่งข่าวที่ให้ข้อมูลกับสื่อรอยเตอร์เมื่อวันที่ 20 เม.ย. โดยเน้นถึงผลกระทบด้านลบจากมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด
ผู้นำอิตาลีระบุว่า การผ่อนคลายความเข้มงวดจะเกิดขึ้นบนพื้นฐานของการศึกษาและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และไม่เพียงเพื่อ “ ทำให้บางส่วนของประชาชนพอใจ หรือขานรับกับภาคการผลิต บริษัทเอกชน หรือภูมิภาคใดโดยเฉพาะ”
“ การผ่อนปรนมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จากการตัดสินใจเรื่องจำนวนการติดเชื้อ และเราต้องเตรียมพร้อมที่จะควบคุมการระบาดให้ลงมาสู่ระดับต่ำสุด เพื่อให้ความเสี่ยงของการแพร่ระบาดเป็นสิ่งที่รับมือได้ ” เขาเสริม
แผนการนี้จะไม่เพียงสร้างความมั่นใจว่าบรรดาบริษัทจะปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยในการทำงาน แต่ยังเป็นการทบทวนสภาพคล่องของแรงงานจากการเปิดธุรกิจ และผลกระทบกับระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน
“ การผ่อนคลายมาตรการจะต้องเกิดขึ้นบนพื้นฐานของแผนการที่มีโครงสร้างที่ดีและชัดเจน” เขาเสริม
จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในอิตาลีลดลงมาอยู่ที่ 2,256 รายในวันที่ 20 เม.ย. ต่ำที่สุดในรอบกว่า 1 เดือน จากข้อมูลของสำนักงานปกป้องพลเมือง โดยตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 24,114 ราย มากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐฯ เท่านั้น.