กิมจิหวังคว้ารางวัลจากยูเนสโก
องค์การสหประชาชาติพร้อมจะยกย่องการทำกิมจิของเกาหลีเหนือ และขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นนามธรรม
องค์การยูเนสโก ที่เป็นสำนักวัฒนธรรมขององค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศยกย่อง และมอบเกียรติบัตรให้กับการทำกิมจิ หรือการดองกะหล่ำปลีของเกาหลีใต้ไปก่อนหน้านี้แล้ว
ในคำประกาศของยูเนสโกได้อธิบายว่า กิมจิจากทั้งเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ล้วนมีรสชาติอร่อย จึงคาดการณ์ว่ากิมจิจากเกาหลีเหนือจะได้รับรางวัลนี้ด้วยเหมือนกัน
กิมจิที่มีรสเปรี้ยว และเผ็ด เป็นอาหารหลักของประชาชนในเกาหลีทั้งสองประเทศ
กิมจิเป็นอาหารที่ปรุงกันในบ้าน และมีวิธีทำที่แตกต่างหลากหลาย มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งในระดับภูมิภาค และครอบครัวว่า สูตรของใครจะอร่อยเลิศที่สุด ซึ่งตามปกติแล้ว กิมจิของเกาหลีเหนือจะมีสีแดงน้อยกว่า และรสชาติที่เผ็ดน้อยกว่าของเกาหลีใต้ เพราะพริกที่เป็นส่วนผสมสำคัญล้วนปลูกในเกาหลีใต้
อาหารจานนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในต่างประเทศ โดยในปี 2551 นายโก ซาน นักบินอวกาศชาวเกาหลีใต้ได้นำกิมจิออกไปสู่อวกาศด้วย
สถานะมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นนามธรรมนี้ เป็นการให้รางวัลในเรื่องการฝึกฝนและศิลปะในการทำ ซึ่งยูเนสโกเห็นว่าสำคัญต่อมรดกโลก และความหลากหลายทางวัฒนธรรม และสมควรได้รับการปกป้องคุ้มครองให้ยาวนานสืบไปไม่เพียงแต่ตัวกิมจิเองที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ การทำกิมจิและการบริโภคกิมจิก็เป็นประสบการณ์ร่วมทางสังคมที่สำคัญ
ทางยูเนสโก เขียนไว้ในรายงานที่มีรายชื่อผู้เข้ารอบ ซึ่งจะเผยแพร่ต้นเดือนธ.ค.นี้ว่า “เกาหลีแชร์ประสบการณ์ในการทำกิมจิร่วมกัน เพื่อทำกิมจิแสนอร่อยตามฤดูกาล มีการช่วยเหลือกันทั้งหาวัตถุดิบ และจัดเตรียมส่วนผสมทุกอย่างให้พร้อมก่อนลงมือทำ ตามประเพณีของเกาหลี ผู้คนจะมารวมตัวกันช่วงปลายเดือนพ.ย.ถึงต้นเดือนธ.ค. เพื่อทำกิมจิในปริมาณมากพอจะบริโภคได้ตลอดฤดูหนาว”
“ประเพณีนี้ก่อให้เกิดความสามัคคีในสังคม การทำกิมจิเป็นกลุ่มใหญ่ จะมีทั้งกลุ่มเพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง หมู่บ้านไปจนถึงองค์กรใหญ่ๆ”
นอกจากวิธีการทำกิมจิของเกาหลีเหนือ ที่อยู่ในรายชื่อของการประกาศขององค์การยูเนสโกในสัปดาห์หน้า ยังมีการชงกาแฟอาหรับ ซึ่งถูกล็อบบี้เสนอเข้ามาโดยกาตาร์ ซาอุดิอารเบีย และโอมาน และมีประเพณีวัฒนธรรมอีกหลายอย่างที่ยังรอการขึ้นทะเบียน เช่น หัตถกรรมกระดิ่งผูกคอวัวจากโปรตุเกส และการเล่นดนตรีปี่ในสโลวาเกีย