“ธีรยุทธ์” วิจารณ์รัฐบาลเป็น “เรือแป๊ะพายวน”
“นักวิชาการเสื้อกั๊ก” อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี เปิดแถลงวิเคราะห์ทิศทางอนาคตการเมืองไทย ทำเอารัฐบาล ต้องรีบออกมาชี้แจง
อาจารย์ธีรยุทธ์ วิเคราะห์ตอนหนึ่งว่า เกือบ 3 ปีจากการบริหารของ คสช. ถือว่าประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มีความสนุกสนาน ได้ความสบายใจ มีการจัดระเบียบ กำหนดนโยบายใหม่ แต่เชื่อว่าการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจจะไม่เกิดเพราะไม่อยากทำ รวมถึงการวางระบบและการบูรณาการต่างๆ ก็ไม่เห็นผล อย่างไรก็ตาม ไม่เชื่อว่าความขัดแย้งแบบเก่าจะกลับมา เพราะไม่ง่ายที่จะปลุกระดม จึงไม่ห่วงเรื่องปรองดอง และเห็นว่าการปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ 2 ฝ่ายอยู่ในฐานะที่ชัดเจนแล้ว คือมองเห็นผลลัพธ์สุดท้ายว่าจะแพ้ หรือชนะได้แน่นอนแล้ว หรือหากยื้อต่อไป ต่างฝ่ายจะสูญเสียเพิ่ม จึงหันมาพูดจากันเพื่อให้ทุกฝ่ายชนะ คือ วินวิน แต่อาจต้องใช้เวลา ซึ่งรัฐบาลต้องมีแนวนโยบายที่ถูกต้อง ทำงานปฏิรูปให้ได้ผล จะเป็นการช่วยไม่ให้เกิดความขัดแย้ง
นายธีรยุทธ์ บอกอีกว่า การบริหารของ คสช.ในขณะนี้ เริ่มอยู่ในสภาพเรือแป๊ะพายวน โดยเฉพาะเกี่ยวกับมาตรการสร้างความปรองดอง และการวางแผนยุทธศาสตร์ต่างๆ มีการตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2 ชุด กรรมการปฏิรูป 2 ชุด กำหนดยุทธศาสตร์ 20 ปี รวม 3 แผนใหญ่ แต่ไม่มีผลงานที่ให้ความมั่นใจได้ว่าจะแก้ปัญหาได้จริงแม้แต่ชุดเดียว จึงเห็นว่า คสช.ตั้งธงความคิดกับยุทธศาสตร์แก้ปัญหาประเทศผิดพลาด เพราะไปมองว่า พรรคการเมือง นักการเมืองคือที่มาของวิกฤต เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ต้องทอนอำนาจและบทบาทหน้าที่ลง ทั้งที่ความจริงแล้ว จากความล้มเหลวที่ผ่านมาจะทำให้พรรคการเมืองจะต้องปฏิรูปตัวเองอยู่แล้ว จึงควรจัดวางยุทธศาสตร์ให้ภาคสังคม ประชาชน เข้ามามีสิทธิอำนาจควบคู่กับความรับผิดชอบมากขึ้น โดยสร้างความเข้มแข็งเพื่อถ่วงดุลกับภาคการเมือง
สำหรับการใช้มาตรา 44 ในการบริหารประเทศของรัฐบาล คสช.นั้น อาจารย์ธีรยุทธ์ เห็นว่าไม่สามารถที่จะไปเปรียบเทียบกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ แม้ว่ารัฐบาลต่อไปจะไม่สามารถใช้อำนาจพิเศษเช่นนี้ได้ ก็ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาหลังการเปลี่ยนผ่านอำนาจ แต่ในขณะที่มีอำนาจพิเศษก็ควรใช้ได้ดีและเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะต้องยอมรับว่าคนไทยมีลักษณะยอมรับอำนาจนิยม แต่ผู้ใช้ก็ต้องใช้อย่างถูกต้อง ส่วนกลุ่มคนที่ออกมาคัดค้านการใช้อำนาจพิเศษ หากทำโดยบริสุทธิ์ ก็เห็นใจ เพราะก็เคยผ่านการต่อสู้เช่นนี้มาก่อน
ด้าน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงบทวิเคราะห์นี้ว่า รัฐบาลขอบคุณที่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง พร้อมรับฟังอย่างเปิดกว้าง เพราะถือเป็นความเห็นของคนไทยคนหนึ่ง ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำเสมอว่า ทุกความเห็นมีความสำคัญต่อการปฏิรูป รัฐบาลจึงจัดตั้งกลไกเพื่อรับฟังข้อเสนอต่าง ๆ และพิจารณานำไปบรรจุเป็นแนวทางเพื่อการปฏิรูปที่ครอบคลุมทุกประเด็น อย่างไรก็ตาม ความเห็นที่จะเป็นประโยชน์มากที่สุด คือ การนำเสนอวิธีการหรือรายละเอียดที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ ไม่ใช่การนำเสนอเพียงหลักการหรือทฤษฎีที่ไม่ลงลึกถึงปัญหา
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า รัฐบาลเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ และเชื่อว่าทุกคนอยากเห็นบ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤตและก้าวไปข้างหน้า แต่การปฏิบัติให้เกิดผลไม่ใช่ของง่าย หรือไม่สามารถเนรมิตให้สำเร็จได้เพียงไม่กี่วัน เพราะหลายปัญหาถูกหมักหมมมานาน ดังนั้น 2 ปีที่ผ่านมาจึงเป็นการนำปัญหาเก่ามาแก้ไข ป้องกันปัญหาใหม่ไม่ให้เกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติในหลายมิติ ทั้งด้านความมั่นคง การสร้างความสามารถในการแข่งขัน การเสริมสร้างศักยภาพคน การลดความเหลื่อมล้ำ การรักษาสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาการบริหารจัดการภาครัฐ
“ อยากให้ประชาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน ได้ศึกษาวาระการปฏิรูปประเทศให้กระจ่างว่า มีรายละเอียดอย่างไร มีกิจกรรม ระยะเวลา กฎหมาย และหน่วยงานที่รับผิดชอบอะไรบ้าง หากสิ่งใดที่สามารถดำเนินการได้ รัฐบาลก็จะลงมือทำทันที เช่น การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน ระบบและโครงสร้างภาษี ที่ดินและการจัดการที่ดิน เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าผลสำเร็จอาจไม่ได้เกิดขึ้นในวันนี้ แต่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จึงจะเห็นผลในวันหน้า ประเทศไทยสูญเสียโอกาสจากคำพูด แต่ไม่ได้ลงมือทำมามาก เช่นเดียวกับการตำหนิในสิ่งที่ยังไม่เห็นผล เข้าทำนองติเรือทั้งโกลน ติโขนยังไม่ทรงเครื่อง จึงอยากให้ทุกคนหันมาช่วยกันคิดและลงมือทำให้เกิดผลสำเร็จ แม้จะต้องใช้เวลาบ้างแต่ก็จำเป็นต้องทำ ” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว