“บิ๊กตู่” ลั่น 2 ปี ผลงานดีขึ้นทุกด้าน
ผ่านพ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับการแถลงผลงานรัฐบาล ครบรอบ 2 ปี เมื่อ 15 กันยายน ที่ผ่านมา
ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ที่นำทีมรองนายกรัฐมนตรีทั้ง 6 ด้าน เปิดทำเนียบรัฐบาลแถลงผลงานนาน 5 ชั่วโมงกว่า
งานนี้ “บิ๊กตู่” สรุปผลงานเรียกความเชื่อมั่นจากนานาประเทศ ไล่มาตั้งแต่ลดความแตกแยก แก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ตลอดจนการประเมินจากหน่วยงานองค์กรต่างๆ ที่มีต่อประเทศไทย สะท้อนผลการทำงานของรัฐบาลดีขึ้นอย่างน่าพอใจในทุกด้าน
“ ด้านความไม่แน่นอนทางการเมืองดีขึ้น จากอันดับที่ 58 ในปี 2557 เป็นอันดับที่ 51 ในปี 2559 ขณะที่ความโปร่งใสในการบริหารงานภาครัฐดีขึ้นจากอันดับที่ 57 ในปี 2557 เป็นอันดับที่ 25 ในปี 2559 จำนวนเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลดลงกว่าร้อยละ 50 จำนวนคดียาเสพติดลดลงกว่าร้อยละ 50 ขณะที่ผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น ดีขึ้นต่อเนื่องจากอันดับที่ 102 ในปี 2556 มาอยู่ที่อันดับ 76 ในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าดีที่สุดในรอบ 6 ปี และมีความโปร่งใสดีที่สุดในรอบ 10 ปี ”
“ ด้านความมั่นคง รัฐบาลแก้ปัญหาความแตกแยก แบ่งฝักฝ่ายลดน้อยลง คนไทยอยู่กันอย่างสงบสุขมากขึ้น สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้ เราเน้นการพูดคุยเพื่อแสดงความจริงใจ ใช้การแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ”
ก่อนจะกล่าวปิดท้ายด้วยว่า “ การใช้อำนาจพิเศษเป็นไปเพียงเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย ถึงแม้ว่ารัฐบาลและ คสช. จะทำอะไรได้ดีเพียงใด ก็ยังมีผู้ไม่หวังดี บิดเบือนให้เกิดความแตกแยก ผมจึงอยากขอความร่วมมือประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลจากผู้ไม่หวังดีเหล่านี้ และต้องไม่ยอมให้คนเหล่านี้มาชี้นำมีอิทธิพล หรือกลับมามีที่ยืนในสังคมไทยได้อีก ”
เรียกได้ว่า พลเอกประยุทธ์ มั่นใจว่า ผลงาน “รัฐบาลทหาร” ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาดีขึ้นทุกด้าน
แต่แน่นอนว่า คนที่จะเป็นผู้ตัดสินใจได้ดีที่สุดว่ารัฐบาลสอบผ่านหรือไม่คงหนีไม่พ้นประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
ทว่าดัชนีชี้วัดผ่านตัวเลขว่าผลงานการทำงานของรัฐบาลดีขึ้นทุกด้าน ไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าความเป็นอยู่ของประชาชน คุณภาพชีวิตในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้จะดีขึ้นตามไปด้วย
หากดูจากท่าที “หัวหอกทีมเศรษฐกิจ” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ แถลงผลงานในด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมาว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2559จะขยายตัวได้ 3.2% และจะดีขึ้นเรื่อยๆ ในปีต่อๆ ไป อาจเป็นเพียงแค่การโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่
ขณะที่ปัญหาความแตกแยกที่ลดลง ในความเป็นจริงกลับพบว่ายังคงมีปัญหาการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ของฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลไม่ได้ลดน้อยลงแม้แต่น้อย รัฐบาลทำได้เพียงคลี่คลายสถานการณ์ให้เบาบางลง แต่ยังคงมีบางกลุ่ม บางพวกที่พยายามสร้างปัญหาอยู่ตลอด ดังนั้นจึงยังไม่ถือว่าปัญหาลดน้อยลง หากมองอีกมุมผลโผหลายสำนักที่ออกมา ก็สะท้อนให้เห็นว่าประชาชน “แฮปปี้” ในตัวผู้นำประเทศ
ส่งผลให้คะแนนนิยมส่วนตัว “บิ๊กตู่” พุ่งปรี๊ดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา รวมถึงรองนายกรัฐมนตรีหลายคนในคณะรัฐมนตรี (ครม.)ด้วย
แน่นอนว่าตัวผู้นำประชาชนไว้ใจและเชื่อใจ แต่ตัวรัฐมนตรีบางคน ยังทำงานไม่เข้าเป้า เข้าตา อยู่ในข่ายโลกลืม ไม่เพียงเท่านั้นหลายกระทรวงยังเกิดปัญหาขบเหลี่ยมกันเองหรือมีกระแสข่าวงัดข้อออกมาเป็นระยะๆ
ฉะนั้นในห้วงระยะเวลาต่อจากนี้ ที่โรดแม็พเคลื่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง ที่จะต้องคืนอำนาจให้ประชาชนในปี 2560 เป็นช่วงระยะเวลาที่จะพิสูจน์ความสามารถ “รัฐบาล-คสช.” ว่าจะนำพาประเทศไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ และจะคืนความสุขให้ประชาชนได้มากน้อยแค่ไหน
นับจากนี้ไปเหลือเวลาอีก 1 ปีครึ่ง “ตามที่สัญญา” จะเป็นบทพิสูจน์สมรรถนะของรัฐบาลและคสช. ว่าจะต้องเผชิญกับแรงต้าน แรงกดดัน อะไรอีกหรือไม่ในก้าวสู่ปีที่ 3 ภายใต้หัวหน้าทีมอย่าง “ประยุทธ์ จันทร์โอชา”.