ราคาอาหารในจีนพุ่ง 9.1%
ราคาอาหารในจีนเดือนก.ค.พุ่งขึ้นถึง 9.1% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 ส.ค. โดยประเทศต้องสู้กับราคาเนื้อหมูที่พุ่งทะยานขึ้น หลังเกิดโรคระบาดอหิวาต์แอฟริกันในสุกร
ส่งผลให้ราคาเนื้อหมูเพิ่มขึ้นถึง 27% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ราคาผลไม้สดพุ่งทะยานขึ้นถึง 39.1% อ้างอิงจากข้อมูล
โดยตัวเลขเดือนก.ค.พุ่งขึ้นตามหลังเดือนมิ.ย.ที่ปรับเพิ่มขึ้น 8.3% ขณะที่ราคาสินค้าที่ไม่ใช่อาหารในเดือนก.ค.ปรับเพิ่มขึ้น 1.3% จากข้อมูลของภาครัฐ
ตัวเลขเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นหลังจากจีนยืนยันเมื่อวันที่ 6 ส.ค.ว่า จีนจะหยุดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพื่อเป็นการตอบโต้การขึ้นภาษีเพิ่มเติมกับสินค้านำเข้าจากจีนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนเติบโต 2.8% เมื่อเทียบกับเดือนก.ค.ของปีก่อน สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ 2.7% ของนักวิเคราะห์จากโพลของรอยเตอร์
“ราคาเนื้อหมูที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องหนุนเงินเฟ้อราคาผู้บริโภค” Julian Evans – Pritchard นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับจีนประจำ Capital Economics ระบุ “ แต่ดีมานด์ที่อ่อนลงฉุดเงินเฟ้อราคาผู้บริโภคลงสู่แดนลบในเดือนก่อน”
ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 0.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบกับปีก่อน และเมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ว่าจะลดลง 0.1% จากโพลของรอยเตอร์
เป็นครั้งแรกที่ PPI ของจีนลดลงในรอบ 3 ปี เพิ่มความกังวลว่ามีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดภาวะเงินฝืดในประเทศจีน
ตัวเลขเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากจีนและสหรัฐฯติดหล่มในสงครามการค้าระหว่างกันที่ลากยาวมานานกว่าหนึ่งปี ทั้งสองประเทศต่างขึ้นภาษีโต้ตอบกันกับสินค้านำเข้าของกันและกัน และความตึงเครียดที่ยกระดับขึ้นกระทบกับตลาดโลก และทำลายแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลก
จากราคาผู้บริโภคที่สูงขึ้นและราคาผู้ผลิตที่ลดลง “ผลสุดท้ายคือจีนต้องเจอกับทั้งสองอย่างที่ย่ำแย่ลง” Evans – Pritchard ระบุ.