กบข.รับผลลงทุน 4% ห่วงเทรดวอร์-บาทแข็ง
กบข.แจงผลตอบแทนลงทุนยังสูง 4.4% ชี้ปรับตัวตามผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยและประเทศพัฒนาแล้ว เชื่อมั่นตลาดทุนยังไปได้ คาดจีดีพีไทยโต 3% หลังรัฐผุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หวั่นสงครามการค้าและบาทแข็งกระทบการลงทุน
นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวถึงตัวเลขการลงทุนของ กบข. ณ วันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า กบข.ได้บริหารสินทรัพย์ลงทุน (ส่วนของเงินกองสำรองรวมกับเงินกองสมาชิก) เป็นเงินกว่า 9.5 แสนล้านบาท สามารถทำผลตอบแทนการลงทุน (ส่วนสมาชิก) ได้ 4.4% ซึ่งเป็นผลจากการที่ตลาดหุ้นปรับตัวให้ผลตอบแทนดีขึ้น นับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 7.4% ส่วนตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วให้ผลตอบแทนถึง 15.2%
สำหรับปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญด้านสภาพเศรษฐกิจของประเทศที่ส่งผลต่อการลงทุนนั้น กบข. ยังมั่นใจเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ถึง 3% จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล งบประมาณ 3.16 แสนล้านบาท ที่จะเริ่มส่งผลดีในไตรมาสที่ 3/2562 กระทั่ง ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตเพิ่มขึ้นได้อีกประมาณ 0.3% ซึ่งดีกว่าประเทศอื่นท่ามกลางบรรยากาศเศรษฐกิจโลกช่วงขาลงนี้ โดยจากรายงานการเติบโตทางเศรษฐกิจพบว่า หลายประเทศมีตัวเลขเศรษฐกิจ “ติดลบ” ณ ไตรมาส 2/2562 อาทิ สิงคโปร์มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบที่ – 3.3% ส่วนเยอรมนีติดลบ – 0.1%
ทั้งนี้ การลงทุนของ กบข. มีการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายใน 15 สินทรัพย์ลงทุน และมีการเฝ้าระวังติดตามสภาพเศรษฐกิจและตลาดทุนอย่างใกล้ชิด สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น คาดว่า Downside Risk ของตลาดน่าจะจำกัดบริเวณแนวรับอยู่ที่ 1,600 – 1,620 จุด ซึ่งหากไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ ที่มีความรุนแรง และเมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาการปรับลดคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงสภาพเศรษฐกิจที่ผ่อนคลายมากขึ้นจากมาตรการต่างๆ ด้วยแล้ว เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะค่อยๆ ทยอยปรับตัวดีขึ้นได้ในระยะถัดไป
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ สถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐ – จีน ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันตลาดทุนอย่างต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่ช่วงกลางปี 61 ที่ผ่านมา รวมถึงประเด็นที่ต้องจับตามองคือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นถึง 6.3% ตั้งแต่ต้นปี 62 ซึ่งเป็นการแข็งค่าที่สุดในภูมิภาค ปัจจุบัน เงินบาทไทยมีลักษณะการแข็งค่าคล้ายกับเงินเยนของญี่ปุ่น ซึ่งถูกใช้เป็นแหล่งหลบภัยเมื่อตลาดการเงินมีความผันผวน ทำให้มีเงินต่างชาติโยกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น และพันธบัตรทั้งระยะสั้นและระยะยาวสลับกันไป โดยการที่เงินบาทแข็งค่ามากนั้นจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตด้านการส่งออกของประเทศได้.