สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 23 ต.ค. 68

1. สรุปสถานการณ์น้ำ และสภาพอากาศวันนี้ : ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ สำหรับประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อยกับมีลมแรง เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คาดการณ์ : ช่วงวันที่ 24 – 26 ต.ค. 68 ภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง เนื่องจากร่องมรสุมกำลังปานกลางที่พาดผ่านภาคใต้ตอนกลางมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบน ภาคใต้ตอนบน และทะเลอันดามันตอนบน
2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 87% ของความจุเก็บกัก (70,199 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 79% (46,076 ล้าน ลบ.ม.)
3. ประกาศเข้าสู่ฤดูหนาว : กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเรื่อง การเข้าสู่ฤดูหนาวของประเทศไทย พ.ศ. 2568 ประเทศไทยจะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว ตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค. 68 โดยเริ่มมีอากาศเย็นบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากนั้นอากาศเย็นจะขยายพื้นที่ครอบคลุมบริเวณภาคกลาง และภาคตะวันออก อุณหภูมิต่ำสุดบริเวณประเทศไทยตอนบนจะลดลงต่ำกว่า 23 องศาเซลเซียส ซึ่งอยู่ในเกณฑ์อากาศเย็นเกือบทั่วไป และลมชั้นบนที่พัดปกคลุมประเทศไทยที่ระดับความสูงประมาณ 100 ถึง 3,500 เมตร ได้เปลี่ยนเป็นลมตะวันออกเฉียงเหนือ หรือลมตะวันออก ส่วนลมชั้นบนที่ระดับความสูงประมาณ 5,000 เมตรขึ้นไป ได้เปลี่ยนเป็นลมฝ่ายตะวันตก ประกอบกับปริมาณและการกระจายของฝนบริเวณประเทศไทยตอนบนลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าสู่ฤดูหนาวของประเทศไทยในปีนี้ และจะสิ้นสุดประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2569
4. ข่าวประชาสัมพันธ์ :
วานนี้ (22 ต.ค. 68) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สทนช. เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงปลายฤดูฝนและกำลังเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา โดยปริมาณฝนในพื้นที่ตอนบนเริ่มลดลง ส่งผลให้สถานการณ์น้ำในภาพรวมมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ ซึ่ง สทนช. ได้บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งระบายน้ำที่ยังท่วมขังอยู่ให้กลับสู่ภาวะปกติ โดยที่ประชุมมีมติให้ปรับลดการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์แบบขั้นบันได จากเดิม 20 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เหลือ 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และคงการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลไว้ที่ 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายเขื่อน และช่วยลดปริมาณน้ำไหลผ่านสถานี C.2 จ.นครสวรรค์ จากนั้นจะทยอยปรับลดการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา เพื่อลดปริมาณน้ำในแม่น้ำ และเร่งระบายน้ำท่วมขังออกจากจังหวัดท้ายเขื่อน ก่อนเข้าเร่งฟื้นฟูความเสียหาย ช่วยให้ประชาชนสามารถกลับมาดำรงชีวิตตามปกติ โดยคาดว่าในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้จะสามารถปรับลดการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในอัตราประมาณ 2,100 ลบ.ม. ต่อวินาที และในช่วงสัปดาห์ที่ 2 – 3 ของเดือนพฤศจิกายน จะสามารถทยอยระบายน้ำออกจาก 11 ทุ่งลุ่มต่ำเจ้าพระยา ที่ใช้ในการหน่วงน้ำในช่วงที่ผ่านมา เพื่อให้เกษตรกรเตรียมพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกต่อไป
ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นช่วงเวลาที่ฝนในพื้นที่ตอนบนและตอนกลางของประเทศลดน้อยลง แต่ถือเป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูฝนในภาคใต้ ที่ประชุมจึงได้กำชับให้มีการเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มอย่างใกล้ชิด และมอบหมายให้หน่วยงานวางแผนการจัดสรรน้ำอย่างเหมาะสมตลอดช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึงนี้ไปจนถึงช่วงต้นฤดูฝนปี 2569 พร้อมทั้งวางแผนปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 22 ต.ค. 68