เวียดนามเร่งพัฒนาแบรนด์สินค้า
นายโดถางไฮ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม กล่าวว่าผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในเวียดนามควรเร่งพัฒนาคุณภาพสินค้า เพื่อบูรณาการให้สามารถแข่งขันได้ในภูมิภาคและทั่วโลก
เมื่อวันที่ 11 มี.ค มีการจัดการประชุมเพื่อพัฒนาแบรนด์สินค้าของเวียดนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “การพัฒนาแบรนด์สินค้าเวียดนามแห่งชาติ” ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการค้า ภายใต้การกำกับดูแแลของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าที่เมืองฮานอย นาไฮ ให้ความเห็นว่า การพัฒนาแบรนด์สินค้าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะหลังจากการควบรวมกิจการเฟื่องฟูขึ้นในตลาดภายในประเทศ การพัฒนาแบรนด์สินค้ายังเป็นโอกาสที่จะประเมินค่าธุรกิจของเวียดนามในตลาดโลกอีกด้วย
นอกจากนี้ นายไฮยังได้กล่าวว่า “มีผู้ประกอบการSMEมากกว่า 90% ในเวียดนาม แต่ส่วนใหญ่ขาดกลยุทธ์ในการพัฒนาแบรนด์สินค้า” อ้างอิงจากความคิดเห็นของนายไฮ การสร้างแบรนด์เพื่อให้เป็นที่รู้จักในตลาดโลกเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน และจะยิ่งทวีความสำคัญยิ่งขึ้นเมื่อเวียดนามเปิดตัวในตลาดโลก จากข้อตกลงเปิดเสรีทางการค้าที่ได้ลงนามไป
นายซามีร์ ดิซิท ประธานบริหารภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิกของบริษัทแบรนด์ไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ชั้นนำ กล่าวในการประชุมว่า จากรายงานผลการประเมินของบริษัทสินค้าแบรนด์ของเวียดนามในปี 2558 มีมูลค่ารวม 140,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4,900,000 ล้านบาทสหรัฐฯ ลดลงมา 19% จากปี 2557
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับ 7 ประเทศในอาเซียนที่อยู่ในอันดับแบรนด์แห่งชาติที่จัดโดยบ.แบรนด์ ไฟแนนซ์ เวียดนามอยู่ในอันดับ 6 ตามหลัง สิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ แต่ดีกว่ากัมพูชาที่อยู่อันดับ 7
หากพิจารณาจากอันดับที่ได้แสดงว่าจุดอ่อนของเวียดนามคือ การขาดความเป็นแบรนด์ระดับชาติ นอกจากนี้เวียดนามยังมีข้อบกพร่องในการควบคุมคุณภาพสินค้า วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ความพึงพอใจของผู้บริโภค การนำเข้าและส่งออก และความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ มี 63 บริษัทที่ได้รับรางวัลจากงานเนชั่นแนลแวลูวอร์ด ซึ่งจัดว่าเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากเมื่อปี 2551 โดยนายดิซิทกล่าวชมว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่เขาไม่รู้ว่า 63 บริษัทที่ได้รางวัลมีบริษัทใดบ้าง เนื่องจากไม่มีข้อมูลเพียงพอและบริษัทเหล่านี้ก็ไม่มีเว็บไซต์ที่จะนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัทเลย
นายเทียรี่ โนแยล ที่ปรึกษาอาวุโสของ SECO แก้ต่างว่าเว็บไซต์ของ 63 บริษัทที่ได้รับรางวัล “มูลค่าของเวียดนาม” มีเว็บไซต์ภาษาอังกฤษแต่มีคอนเทนท์ที่แย่มาก โดยนายโนแยลกล่าวว่า มีเพียง 10 ใน 63 บริษัท เท่านั้นที่มีโลโก้รางวัลที่ได้รับอยู่บนเว็บไซต์ ส่วนบริษัทที่เหลือไม่ได้อ้างอิงถึงรางวัลนี้เลย
นายโนแยลให้ความเห็นว่า รางวัล “มูลค่าของเวียดนาม” ยังเป็นการส่งเสริมผู้ได้รับรางวัลทั้ง 63 บริษัท และเน้นคุณสมบัติ 3 ข้อ คือ นวัตกรรมคุณภาพ ความคิดสร้างสรรค์และความเป็นผู้นำ แต่ในทางปฏิบัติ คุณสมบัติทั้ง 3 ข้อดูจะไม่ได้รับความร่วมมือจากบริษัทที่ได้รางวัลและบริษัทเหล่านี้ก็ไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์ในวงกว้างเท่าที่ควร
นายโนแยลให้ความเห็นว่า ธุรกิจSME ของเวียดนามควรได้รับการพัฒนา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ นอกจากการพัฒนาแบรนด์แล้ว ยังควรมี “เครื่องหมายร่วม” ด้วย เพื่อที่จะได้ขับเคลื่อนและผลักดันการส่งออกด้วยสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น ราคาขายและบริการที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ เวียดนามได้ลงนามในข้อตกลงทางการค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากได้เข้าร่วมในหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ดังนั้นการสร้างแบรนด์จึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนสำหรับบริษัททั้งหลายเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของธุรกิจและประเทศ หากผู้ประกอบการของเวียดนามไม่คว้าโอกาสนี้เพื่อพัฒนาแบรนด์ ก็จะไม่มีโอกาสที่จะได้เปรียบในโอกาสทางเศรษฐกิจระดับโลกที่กำลังจะมาถึงในอนาคต.