ว่างงานสหรัฐฯ ขยับขึ้นหลังต่ำสุดในรอบ 48 ปี
จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอรับสวัสดิการคนว่างงานเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว จากที่เคยลดลงไปต่ำที่สุดในรอบกว่า 48 ปี แต่แนวโน้มชี้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐฯยังคงอยู่ในสภาวะที่แข็งแกร่ง
ข้อมูลอื่นที่เผยแพร่ในวันที่ 8 มี.ค.ยังช่วยย้ำถึงสภาพตลาดแรงงานในเชิงบวก เนื่องจากมีการประกาศว่า การปลดพนักงานออกจากบริษัทลดลงถึง 20% ในเดือนก.พ. ธนาคารกลางสหรัฐฯพิจารณาว่าตลาดแรงงานเติบโตขึ้นใกล้ถึงจุดอิ่มตัว แต่จำนวนงานที่หนาแน่นช่วยหนุนการเติบโตของค่าจ้างและกระตุ้นเงินเฟ้อ
กระทรวงแรงงานระบุว่า จำนวนผู้ที่มายื่นขอรับสวัสดิการคนว่างงานเบื้องต้นเพิ่มขึ้นถึง 21,000 คนทำให้มีจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการเพิ่มขึ้นเป็น 231,000 คนในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 3 มี.ค. จำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการลดลงเหลือ 210,000 คนในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุด นับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปี 2512 เป็นต้นมา
โพลล์นักเศรษฐศาสตร์ของรอยเตอร์คาดการณ์ว่า จำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการคนว่างงานจะเพิ่มเป็น 220,000 คนในสัปดาห์ล่าสุด นับเป็นสัปดาห์ที่ 157 ติดต่อกันที่มีตัวเลขผู้ยื่นขอรับสวัสดิการคนว่างงานต่ำกว่า 300,000 คน ชี้ให้เห็นถึงสภาพตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งขึ้น นับเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2513 เป็นต้นมา ซึ่งขนาดของตลาดแรงงานยังมีขนาดเล็กกว่าในปัจจุบัน
ข้อมูลการยื่นขอรับสวัสดิการไม่ส่งผลกระทบใดๆกับรายงานการจ้างงานในเดือนก.พ. ซึ่งมีกำหนดจะเผยแพร่ในวันที่ 9 มี.ค.การขอรับสวัสดิการคนว่างงานลดลงในเดือนก.พ. ทำให้นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ถึงการเติบโตของตลาดงานที่แข็งแกร่งในเดือนมี.ค. อีกเดือน
จนถึงตอนนี้ นายจ้างประกาศปลดพนักงานออก 80,022 อัตรา ซึ่งเป็นจำนวนที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงเวลาระหว่างเดือนม.ค. – ก.พ.ปี 2538 เป็นต้นมา โดยแผนการปลดพนักงานต่ำกว่า 50,000 อัตราต่อเดือนดำเนินมาต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 22 แล้ว
เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นต่อตะกร้าสกุลเงินอื่น Mario Draghi ประธานาธนาคารกลางยุโรปกล่าวว่า นโยบายการเงินยังคงเป็นไปแบบปฏิกริยาตอบสนองต่อสถานการณ์ และมาตรการเหล่านี้ทำให้เงินเฟ้อยังคงต่ำอยู่
ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเพิ่มขึ้น หุ้นในตลาดหุ้นวอลล์ สตรีทยังคงมีการซื้อขายเพิ่มขึ้น หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สัญญาว่าจะมีความยืดหยุ่นกับประเทศมิตรแท้ของสหรัฐฯ เนื่องจากเขาเตรียมปรับขึ้นภาษีศุลกากรการนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม
โดยประธานาธิบดีทรัมป์ปรับขึ้นภาษีศุลกากรเหล็กนำเข้าเป็น 25% และ 10% สำหรับการนำเข้าอลูมิเนียมเพื่อปกป้องบริษัทผู้ผลิตในประเทศให้สามารถแข่งขันได้ ก่อให้เกิดการประณามและความกลัวว่าจะกลายเป็นสงครามการค้า
“การขึ้นภาษีศุลกากรใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ในการนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมอาจช่วยเพิ่มงานในอุตสาหกรรมเหล่านั้นในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการผลิตยานยนต์เป็นส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรม ภาษีที่เพิ่มขึ้นจะทำให้บริษัทผู้ผลิตที่ใช้สินค้าเหล่านี้ เช่น บริษัทผู้ผลิตยานยนต์และอากาศยาน ต้องลดจำนวนงานลงในระยะยาว” John Challenger ซีอีโอของ Challenger, Gray & Christmas, Inc. ให้ความเห็น.