ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 29-30 ก.ย.2564
โทนี่ วู้ดซัม หรือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาบ่อยขึ้น อย่างน้อยในช่วงนี้ก็ 2 สัปดาห์ครั้ง ล่าสุดรัฐบาลตัดสินใจขยายเพดานหนี้สาธารณะ จากไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี เป็นไม่เกิน 70 เปอร์เซ็นต์ โทนี่ ไม่พลาดที่จะออกมาแสดงความเห็น โดยบอกว่า การกำหนดให้หนี้สาธารณะอยู่ที่ 50% ถือว่าเป็นวินัยการเงินการคลังที่ดีที่สุด เพราะ 60% ยังถือว่าอาการหนัก แต่วันนี้ขยับขึ้นไป 70% แล้วถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ต่อ ก็อาจขยับเป็น 80% ดังนั้น จึงมีความน่าห่วง เพราะรัฐบาลจับจ่ายใช้สอยง่ายเกินไป โดยไม่พัฒนาขีดความสามารถในตัวเอง
เรื่องที่ 294 โทนี่ ใช้โอกาสนี้ข่ม พล.อ.ประยุทธ์ โดยบอกว่า “สไตล์ผมกับสไตล์ท่านประยุทธ์ ไม่เหมือนกัน สไตล์ของท่านกู้เงินมาแจก ของผมให้ต่างประเทศกู้เงินมาสร้างให้เรา แล้วเราเอารายได้ไปจ่าย วิธีคิดมันต่างกัน ซึ่งวิธีกู้เงินแล้วมาแจกนั้น คนที่รับบาปหรือรับบาปทางอ้อมคือลูกหลาน เพราะตัวเองยังหามรดกให้ลูกหลานไม่ได้ ยังเอามรดกในอนาคตของลูกหลานมาใช้ในวันนี้ และอีก 2-3 เจเนอเรชั่น จะต้องชำระหนี้ให้กับประเทศ โดยการเสียภาษีที่เพิ่มขึ้น ด้วยการทำงานที่หนักขึ้น เพื่อประเทศจะได้เอาเงินไปใช้หนี้ที่กู้มา”
เหตุผลสำคัญที่โทนี่ ออกมาออกบ่อยครั้งในช่วงนี้ หลักๆ แล้วมาจากการเตรียมตัวสู้ศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ โดยพยายามรีแบรนด์ตัวเองให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ เพื่อที่จะได้ใจวัยรุ่น
โทนี่ กำหนดเป้าหมายในการโจมตี โดยตรงไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นอกจากจะเป็นศัตรูโดยตรงแล้ว ยังเป็นผู้นำที่เยาวชนคนรุ่นใหม่ต่อต้านด้วย ฉะนั้นการพูดถึง พล.อ.ประยุทธ์ ของโทนี่ จึงเท่ากับการยิงปืนนัดเดียว ได้นก 2 ตัว โดยเห็นว่า การจะได้ใจวัยรุ่นนั้น ต้องด่า พล.อ.ประยุทธ์
เรื่องที่ 295 งานแถลงข่าวของการยาสูบฯ เมื่อช่วงบ่าย 28 ก.ย.ที่ผ่านมา เล่นเอา “พี่บิ๊ก” ภาณุพล รัตนกาญจนภัทร ผู้ว่าการฯ เกิดอาการตะลึงงัง! นึกไม่ถึง…แค่งานเซ็นเอ็มโอยูกับบริษัทข้ามชาติ อย่างกลุ่มซานตาเฟ่ ฟาร์ม (ประเทศไทย) ว่าด้วยความร่วมมือพัฒนากัญชงครบวงจร จะมีกองทัพสื่อมวลชน สนใจมร่วมทำข่าวมากมาย ขนาดที่ของชำร่วยที่เตรียมไว้ไม่พอแจก! ต้องงัดเอาสต๊อกเก่าออกมาให้นักข่าว กันเสียหน้า…ผู้มากบารมี “คอนเน็กชั่น” สืบไปจนได้ความ…ประเด็นที่สื่อฯสนใจจริงๆ หาได้อยู่ที่เรื่องเซ็นเอ็มโอยู เพราะก่อนหน้านี้ การยาสูบฯ ก็เดินหน้าเซ็นเอ็มโอยูในลักษณะเดียวกัน กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ มาแล้วมากมาย ชนิดไม่หวั่นไหวต่อท่าทีของ สนง.คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่ยังคงนิ่งเฉยต่อการจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้การยาสูบฯ ดำเนินการต่อยอดพืชกัญชงและกัญชา เพราะที่สื่อฯสนใจจริงๆ ก็คือ ในวันเดียวกันนั้น คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบในเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ใหม่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา และผลของภาษีสรรพสามิตบุหรี่ใหม่จะกระทบต่อการดำเนินงานของการยาสูบฯอย่างไรบ้าง?
หลังถึงบางอ้อ! “พี่บิ๊ก” รู้เลย! อะไรคือคำถามที่จะต้องตอบผู้สื่อข่าว ไล่เรียงประเด็นตามนี้… 1.การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ จะทำให้บุหรี่เถื่อนทะลักแน่! แม้การบูรณาของหน่วยงานต่างๆ สามารถจับกุมบุหรี่เถื่อนได้เยอะ แต่ก็ไม่มากพอจะสกัดกั้นหมด เนื่องจากส่วนต่างผลประโยชน์มีมากเหลือเกิน 2.ภาพรวมราคาบุหรี่ปรับขึ้นแน่! เพราะก่อนหน้านี้…บรรดาพ่อค้าหัวในต่างกว้านซื้อกักตุนบุหรี่ก่อนจะมีการปรับภาษีกันอย่างเป็นทางการ 3.ราคาบุหรี่ของการยาสูบฯ จะยังไม่ขึ้นทันที! เพราะจะต้องรอการประชุมบอร์ดการยาสูบฯเสียก่อน ว่าจะเห็นชอบเรื่องนี้อย่างไร? ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่า 2 สัปดาห์ และ 4.บุหรี่ “ไฟติ้งแบรนด์” ที่มีราคาถูก อยู่ในความสนใจของการยาสูบฯ เพื่อแก้ไขปัญหาถูกบุหรี่นอกตีตลาด จนกระทบรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ แต่การจะออกแบรนด์ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีขาใหญ่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและเอ็นจีโอ คอยเป็นก้างขวางคอ
“พี่บิ๊ก” ทิ้งท้าย…6 ต.ค.นี้ หน้าที่บนเก้าอี้ “ผู้ว่าการการยาสูบฯ” จะสิ้นสุดลง? แม้ต้นสังกัดอย่าง…การยาสูบฯ จะเชิญให้เข้าไปนั่งในตำแหน่ง “ประธานที่ปรึกษาของการยาสูบฯ” (ตัวองค์กร) และจะต้องเข้ามาทำงานสัปดาห์ละ 3 วัน ทว่าเจ้าตัวกลับมี “งานใหม่” ที่น่าสนใจมากกว่า และอาจต้องทำคู่ขนานกันไป นั่นคือ ภารกิจช่วยเหลืองานของ “ผู้นำสูงสุดคนใหม่” ในซีกข้าราชการประจำของกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากตามประวัติทางลึกและลับนั้น ถือว่า “ปลัดเก่ง” สุทธิพงษ์ จุลเจริญ กับ “พี่บิ๊ก” เสมือนเป็น…พี่น้องคนละท้องเดียวกัน? เนื่องจาก…นับแต่วัยเด็ก “ปลัดเก่ง” เคยคลุกคลีตีโมงอยู่ในบ้านของ “พี่บิ๊ก” เคารพและเรียก “คุณพ่อของพี่บิ๊ก” เป็นเสมือนพ่อแท้ๆ ของตัวเอง เรียกว่า…ทั้ง “พี่บิ๊ก” และ “น้อง(ปลัด)เก่ง” ต่างคุ้นชินกันมาตลอดเวลาเกือบ 50 ปี แนบแน่นเสียขนาดนี้ เมื่อ “น้อง(ปลัด)เก่ง” จะต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง! ตามบทบาทหน้าที่ใหม่ที่ต้องมี มีหรือที่ “พี่บิ๊ก” จะนิ่งดูดายได้? เอาเป็นว่า เมื่อขาข้างหนึ่งต้องไปช่วยงานที่กระทรวงมหาดไทย และอีกข้างที่อยู่กับการยาสูบฯ ก็อย่าลืมน้องๆ ผู้สื่อข่าวสายกระทรวงการคลัง…แล้วกัน
เรื่องที่ 296 แตกหน่อ ต่อยอด ไม่หยุด บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) เครือ บางจาก หลังจากเข้าร่วมลงทุนใน Manus Bio Inc. ประเทศสหรัฐ ขยายธุรกิจชีวภาพ สู่ ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง ล่าสุดได้ ออกผลิตภัณฑ์ แอสต้า-อิมมู ภายใต้แบรนด์ B Nature+ (บี เนเจอร์ พลัส) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติประเภท Nutraceutical (โภชนเภสัช หรือ โภชนบำบัด) ชิ้นแรกออกสู่ตลาดแล้ว.. เท่าที่ทราบคุณสมบัติค่อนข้างเยอะในเรื่องของ สุขภาพและความงาม แต่ที่น่าสนใจคือช่วยปรับสมดุลการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดความเสี่ยงในการป่วยจากโรคติดเชื้อต่าง ๆได้ดี เหมาะมากกับสถานการณ์ในปัจจุบัน.. “กิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ “ CEO บีบีจีไอ คอนเฟิร์ม…
เรื่องที่ 297 ทั้งกระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ตอนนี้เร่งมือ ผลักดัน เรื่อง ยานยนต์ไฟฟ้า กันเต็มสปีด.. สถานีบริหารน้ำมันจำนวนไม่น้อยก็ได้ทยอยติดตั้ง “สถานีชาร์จรถไฟฟ้า” เป็นพันกว่าจุดแล้วในตอนนี้ ทั้งอาคาร ห้างสรรพสินค้าก็มีติดตั้งหลายต่อหลายแห่ง เพื่อรองรับจำนวนรถไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้น จากนโยบายรัฐที่จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าให้เป็น 50% ภายในปี 2573 และขยับขึ้นเป็น 100% ภายในปี 2578 โดยเป้าหมายที่จะให้ประเทศไทยมีรถยนต์ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 18.41 ล้านคัน
ประชาชน คนใช้รถ ก็ใจจดใจจ่อ อยากใช้รถไฟฟ้าเช่นกัน …แต่มันยังติด ตรงที่ราคาในปัจจุบัน ยังไม่ลงตัว.. หลายคนสงสัย ทำใม รถไฟฟ้า ที่นำเข้าจากประเทศจีนถึงราคาถูกกว่า ประเทศอื่นๆ .. นั่นเป็นเพราะ ข้อตกลงเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน ซึ่งมีประเทศไทยร่วมด้วย มีภาษีนำเข้าเป็น 0% จึงทำให้รถไฟฟ้าจากจีนราคาถูกว่า ญี่ปุ่น ที่ถูกเก็บภาษีในอัตรา20% เกาหลีใต้ 40% และยุโรป 80%
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม “กอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์” ก็ได้แต่หวังว่า กระทรวงการคลัง จะเร่งเคาะมาตรการสนับสนุนออกมาโดยเร็ว เช่น การลดภาษี ยกเว้นนำเข้าชิ้นส่วน รวมทั้งสิทธิประโยชน์ด้านอื่นๆ ที่จะทำให้ราคารถอีวีถูกลง หรือใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในปัจจุบัน …ตอนนี้ก็ได้แต่ลุ้น เพราะหากโครงสร้างภาษีรถยนต์ไฟฟ้าไม่ลงตัว.. ฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าก็เกิดยากเช่นกัน..
โดย นพวัชร์