ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 21-22 ก.ย.2564
“หลังจากรัฐบาล ประกาศคลายล็อคดาวน์ เมื่อต้นเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ผ่านพ้นไปนานกว่า 20 วันแล้ว ยังไม่เห็นหน่วยงานไหน กล้าแถลงข่าวเปิดให้สื่อมวลชนรายงานข่าวอย่างเป็นทางการ นอกเหนือจากทำเนียบรัฐบาล เปิดได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ต้องสั่งปิดและจะเปิดใหม่อีกครั้งในต้นเดือนต.ค. หลังพบนักข่าวติดโควิด-19 จำนวน 1 ราย แต่ล่าสุด กระทรวงการคลัง โดย “พี่หยิม-ยุทธนา หยิมการุณ” อธิบดีกรมธนารักษ์ เชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมงานบันทึกความตกลง (MOU) ว่าด้วยการพัฒนา ความร่วมมือในการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุ ระหว่างกรมธนารักษ์กับกรมราชทัณฑ์ ในช่วงบ่ายของวันที่ 22 ก.ย.และต่อเนื่องอีกงานในช่วงเย็น ระหว่างกรมธนารักษ์ กรรมการผู้จัดการ ธอส. และผู้ว่าการเคหะแห่งชาติ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบูรณาการการใช้ที่ดินเพื่อจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย กลายเป็น 2 งานแรก หลังจากคลายล็อกดาวน์ที่เปิดแถลงข่าวเห็นตัวกันเป็นๆ”
เรื่องที่ 262 ขอเก็บตกบรรยากาศก่อนปิดสมัยการประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยก่อนปิดสมัยการประชุมครั้งนี้ มีกฎหมายสำคัญเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา(ส.ส.และ ส.ว.) คือ ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ พ.ศ. … นำเสนอโดยกระทรวงศึกษาธิการ
กฎหมายนี้จะใช้แทนที่กฎหมายฉบับเดิมที่ใช้มาแล้วกว่า 22 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2542 โดยเป็นการพัฒนาบทบัญญัติที่เน้น 4 เป้าหมาย 1.การพัฒนาเด็กเล็กให้ได้รับการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงวินัย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา 2.การลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา โดยให้มีการจัดตั้งกองทุนเสมอภาคด้านการศึกษา 3.พัฒนากลไกการผลิตคุณครู ตามรัฐธรรมนูญที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับกระบวนการคัดกรองและการพัฒนาครู 4.การปรับปรุงโครงสร้างการเรียนการสอนทุกระดับ
อันที่จริงร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว จะเข้าสภาตั้งนานแล้ว แต่ปรากฎว่า มีเสียงท้วงติงจากหลายฝ่ายว่าเนื้อหาสาระย้อนยุค ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการจึงนำไปปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ก่อนนำเสนอที่ประชุมร่วมรัฐสภาอีกครั้งก่อนปิดสมัยการประชุม
ความคาดหวังของรัฐบาลคือ ต้องการให้กฎหมายดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในวาระ 1 ไปได้ในวันสุดท้ายที่มีการประชุม จากนั้นจึงมีการตั้งกรรมาธิการทำหน้าที่แปลบัญญัติในช่วงปิดสมัยการประชุม แล้วกลับมาพิจารณาในวาระ 2 เมื่อเปิดสมัยการประชุมอีกครั้ง ในช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้
แต่ปรากฎว่าในวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา สมาชิกรัฐสภาทั้ง ส.ส.และ ส.ว. มาร่วมประชุมบางตา จนประธาน “ชวน หลีกภัย” ประเมินแล้วว่า หากนับองค์ประชุม คงเป็นอันต้องทำให้สภาล่มเป็นแน่ จึงอาศัยอำนาจประธานสภา ชิงสั่งปิดการประชุมโดยที่ไม่มีการลงมติใดๆ
นั่นคือความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความไม่รับผิดชอบของ ส.ส.และ ส.ว. ส่งผลให้กฎหมายซึ่งมีความสำคัญมากต้องหยุดชะงักลง
คำถามคือใครจะรับผิดชอบในเรื่องนี้
มาต่อกันที่เรื่อง 263 พูดให้เป็นบวก…มันก็เป็นบวก! สำหรับปมที่คณะกรรมการวินัยการเงินการคลังภาครัฐ ที่มี “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นประธานฯ มีมติเห็นชอบขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะ จากเดิมไม่เกิน 60% เป็น 70% ของจีดีพี มองในมุมคนค้าเงินกู้และดอกเบี้ย อย่าง ธนาคารกสิกรไทย ที่เพิ่งออกบทวิเคราะห์สถานการณ์นี้ พวกเขาเชื่อว่าสิ่งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะสั้น กระนั้นยังทิ้งปมให้ขบคิด กับคำแนะให้รัฐบาลต้องหารายได้เพิ่มในระยะยาว โถ! ยามนี้…แค่จัดเก็บภาษีให้ได้ตามเป้าก็เหนื่อยหนักแล้ว เบาะๆ ภาษีที่เก็บขาดไปปีงบประมาณ2564 มีไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท ครั้นจะขึ้นภาษีธุรกิจบาปและน้ำมัน ก็ได้ไม่มากนัก โปะรายได้ที่หายไปไม่ครบ แถมแนว คิดขยายเพิ่มสัดส่วนขายคอนโดฯ พ่วงเปิดช่องให้ต่างชาติซื้อบ้านและที่ดินในไทย ยังถูกต่อต้านรุนแรง! ถึงขั้นเปรียบกับรัฐบาลในอดีต ที่แค่…แปรรูปรัฐวิสาหกิจ หรือขายทิ้งกิจการโทรคมนาคม ก็โดนข้อหา “ขายชาติ” กันแล้ว แต่นี้…ขายที่ดินให้ต่างชาติกันจริงๆ รัฐบาลจึงต้องถอยแบบไร้กระบวนท่า
สุดท้าย ผลกระทบระยะสั้นของการปรับเพิ่มสัดส่วนหนี้สาธารณะอาจไม่เป็นปัญหา แต่ทว่าหลังไม่มี “รัฐบาลลุงตู่” ผ่านพ้นไป อะไรจะเกิดขึ้นกับหนี้สาธารณะของไทย และชีวิตคนไทย ต้องไปลุ้นกันในอนาคตอย่างนั้นหรือ?
เรื่องที่ 264 ความไม่รู้ ส่งผลเชิงลบได้รุนแรงมาก! นึกๆ ให้รู้สึกสงสารธุรกิจประกันภัยที่ “เปิดหน้า” ขายประกันภัยโควิดฯ แบบไม่มีอั้น สุดท้ายเสียหาย ขาดทุนกันทุกบริษัท ใครจะคิดล่ะว่า “โควิด” จะลากยาว กลายเป็น “โคขวิด” แถมมีสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อันตรายและรุนแรงกว่าเช่นนี้ ส่วนข่าวลือก่อนหน้านี้ ฟาดไปที่ “ทิพย์ กรุ๊ป โฮล ดิ้งส์” ที่ต้องควักจ่ายเป็นค่าสินไหม เคลมประกันภัยโควิดฯ พุ่งทะลุ 3,000 ล้านบาท แต่ล่าสุด เห็น “ดร.สมพร สืบถวิลกุล” ซีอีโอ ค่ายทิพย์ กรุ๊ป โฮล ดิ้งส์ ให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า แม้ยอดเคลมช่วงนี้ จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายร้อยเท่าตัว จากเดิมที่มีแค่หลักร้อย ขยับขึ้นเป็น 40,000-50,000 รายในแต่ละเดือน จนต้องปรับเพิ่มและดึงทีมงานจากฝ่ายอื่น มาช่วยรับงาน “เปิดเคลม” ในภาวะสงครามเคลมเช่นนี้ และยอดเบี้ยประกันภัยรับสำหรับโควิดฯ ทาง ค่ายทิพย์ กรุ๊ป โฮล ดิ้งส์ รับไว้เพียง 2,500 ล้านบาท และมียอดจ่ายเคลมรวม 2 ปี ณ วันที่ 13 ก.ย.2564 เพียงแค่ 1,350 ล้านบาท แม้จะมีบางส่วนที่อยู่ระหว่างการเคลมและกลุ่มที่ยังไม่ได้ยื่น เคลมอีกจำนวนหนึ่ง แต่เชื่อว่ายอดเคลมคงไม่พุ่งทะยานเหมือนที่ตกเป็นข่าวแน่!
เรื่องที่ 265 ไม่เชื่ออย่าลบหลู่! สิ่งนี้เกิดขึ้นจริงระหว่างที่ “พี่บิ๊ก-นาฬิกอติภัค แสงสนิท” เอ็มดี.ของ ธนารักษ์พัฒนาสิน ทรัพย์ หรือ ธพส. บริษัทลูกของกรมธนารักษ์ กำลังร่วมพิธีสมโภชบวงสรวงสถานที่ที่บูรณะใหม่ พร้อมอัญเชิญประดิษฐานและสักการะองค์ท้าวมหาพรหม พระพิฆเนศวร และพระแม่ธรณี ขึ้นยังเทวาลัย ในเวลา 10.19 น. 10.29 น. และ 10.39 น. ตามลำดับ ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้เกิดสิ่ง “มหัศจรรย์” จากเดิมที่ท้องฟ้าเปิด แสงแดดสาดส่องไปทั่วบริเวณ พลันบรรยากาศก็แปรเปลี่ยนเป็นปรากฏการณ์ “อาทิตย์ทรงกลด” สะกดให้บริเวณพิธี เกิดสภาพอากาศ “แสงหม่น” ลงทันตาเห็น หลายเสียงพูดตรงกัน! นี่คือ ฤกษ์และสัญญาณเรื่องดีๆ ที่จะเกิดขึ้น กับศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯแห่งนี้ นั่นเพราะองค์ท้าวมหาพรหม ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของเหล่าข้าราชการ ตลอดจนประชาชนทั่วไป นับแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2550 และนี่ถือเป็นการบูรณะครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกเช่นกัน
เรื่องที่ 266 แม้ว่า กฟผ.จะผู้ได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าได้ แต่ท้ายที่สุด ก็ยังต้องรับซื้อก๊าซธรรมชาติเพื่อนำมาป้อนให้กับโรงไฟฟ้าน้ำพอง จาก ปตท.อีกตามเดิม ล่าสุดได้ทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าน้ำพอง ฉบับใหม่ เป็นเวลา 10 ปี (2564 – 2574) มูลค่ากว่า 53,000 ล้านบาท
ทั้ง “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” CEO ปตท.และ “บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร” ผู้ว่า กฟผ.ต่างก็ประสานเสียงเป็นประโยคเดียวกันว่า เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และ เพิ่มขีดความสามารถการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ที่จะมีทั้ง โครงการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) โครงการสมาร์ทซิตี้ จ.ขอนแก่น โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่เศรษฐกิจหลักภาคกลางและพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ..ฟังแบบผ่านๆก็ดูจะ สมเหตุ สมผล.. แต่หาก ซื้อตรงกับผู้ขาย หรือ ซื้อผ่านพ่อค้าคนกลาง อย่างไหน ค่าไฟ จะถูกกว่ากัน…ครับท่าน CEO
มีข่าวอยู่สักพัก..”การลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดลพบุรี” เรื่องที่ 267 ล่าสุดกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบ พร้อมกับเก็บตัวอย่างวัตถุอันตรายไปตรวจสอบ ตอนนี้รู้แต่ ตัวเจ้าของที่ดินจุดทิ้งกากอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ก็กำลัง เตรียมเรียก เจ้าของรถ และพยานที่พบเห็นเหตุการณ์ เข้าให้ปากคำ เพื่อสาวถึงต้นตอของเสียที่ถูกนำมาทิ้ง เจ้าหน้าที่ไม่ได้บอก ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการสืบหาต้นตอ
ประชาชนในพื้นที่ร้องมาขนาดนี้ หลักฐาน กล้องวงจรปิด และ พิกัด GPS ที่ติดอยู่กับรถบรรทุก ก็มีเพียบ หาคนกระทำผิดคงไม่ยาก แค่จับปรับ และให้กำจัดของเสียอย่างถูกต้องพร้อมกับ บำเพ็ญประโยชน์ด้วยการสภาพแวดล้อมให้คืนสู่สภาพปกติ..บทลงโทษแค่นี้ดูจะน้อยเกินไปกับความเสียหายที่ประชาชนแบกรับไปเต็มๆ ที่สำคัญ อย่ากลายเป็นเรื่อง โอละพ่อ ก็แล้วกัน
กลับมาเรื่องที่น่ายินดี..เมื่อวานนี้ (21ก.ย.) บอร์ด กบง. ได้เห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ที่ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2564 ถึงวันที่ 31ธ.ค.2564 เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ว่าราคา LPG ตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปลายปีนี้ แต่ยังไงๆกระทรวงพลังงาน ก็ยังคงทบทวนราคา LPG ให้อยู่ในอัตราเดิมต่อไป เพราะขณะนี้ สนพ. กำลังทำเรื่องขยายกรอบวงเงิน เพื่อใช้ อุดหนุนก๊าซ LPG โดยเฉพาะ
ทิ้งท้าย….มีเรื่องดีๆ มาฝาก สำหรับใครที่สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์ ผ่านระบบ ZOOM “Think for Growth : SME ยุควิกฤติโควิด-19…ทำอย่างไรให้รอด” ที่ CP ALL ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ จัดขึ้นมาในวันพุธที่ 22 กันยายน 2564 เวลา 09.45 – 12.00 น. สนใจคลิกลิงก์ตามนี้ได้เลย https://bit.ly/3lHsLl3
ก่อนจากกัน ตลอดทั้งวัน ได้รับทั้งเสียงชม และเสียงบ่น “บก.ชวนคุย” เขียนศุลการักษ์รุ่น 19 กับ รุ่น 20 กำลังเปิดศึกช้างชนช้าง ในช่วง 2 ปีสุดท้ายก่อนเกษียณ ขอยืนยันว่า ไม่ได้เขียนให้ทะเลาะกัน แต่เขียนเพื่อให้ทุกคน ทำใจกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น “ใครเป็นใคร” พี่น้องทั้ง 2 รุ่น รู้จักกันดี รุ่นที่ 19 ยังเหลืออยู่เยอะ ประมาณ 60-70 คน ต่างได้รับการโปรโมทได้ดิบได้ดีสมัยอธิบดีกรมคนเก่า ตอนนี้ กอดอกเป็น “ปลัดคลัง” มาถึงอธิบดีท่านใหม่ “หม่อง-พชร อนันตศิลป์” จะตั้งใครขึ้นเป็นมือขาวและมือซ้าย ก็ต้องตามใจเค้าบ้าง รุ่น 20 เหลืออยู่ประมาณ 20 คน ทำให้เกิดความหมั่นไส้ แค่มองหน้า “ยังอาจถูกชก” เพราะคนมีน้อย แต่ที่ว่างมีเยอะ ไม่ต้องเล่นเก้าอี้ดนตรี ตำแหน่ง “นายด่านแหลมฉบัง” ไม่น่าหนีรุ่น20
แต่คนแก่รุ่นเก่าๆ บอกว่า อย่าทำเกินตัวนะน้อง ระวังภัยเข้าตัว เพราะอีก 2 ปี รุ่น 19 และรุ่น 20 ก็เกษียณหมดแล้ว สุดท้ายไม่มีหมายศาลส่งถึงบ้านในภายหลัง ถึงจะเรียกว่า “พ้นพงหนาม” ไม่ใช่สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.เหมือนกับข้าราชการกรมอื่นๆ นะจ๊ะ
รุ่นพี่ยังบอกอีกว่า เกษียณปีแรก ยังพอได้สดชื่น เห็นน้องๆ เพื่อนๆ มาเยี่ยมคารวะ แสดงว่า ทำประโยชน์เอาไว้เยอะ ให้คนคิดถึงความดี ไม่นินทาว่า “มูมมาม” ต้องตามมาด่ากันทีหลัง ส่วนปีที่สอง ปีที่สาม หากยังมีน้องมีเพื่อนแวะเวียนมาหา แสดงว่า ไม่ใช่แค่ทำประโยชน์เพียงอย่างเดียว แต่ยังได้ทำความดีให้คนรุ่นหลังได้คิดถึง “บุญคุณ” จวบจนวันตาย ขอเพียง แค่นี้ครับ.
โดย นพวัชร์