ผู้เสียชีวิตไฟป่าแคลิฟอร์เนียเพิ่มถึง 40 ราย
หลังจากเกิดเหตุไฟป่ากินเวลามาเป็นวันที่ 6 ในแคลิฟอร์เนีย ปัจจุบันมีตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 40 ราย และยังมีอีกหลายร้อยรายที่ยังคงหายสาบสูญ ไฟป่ารุนแรงได้เผาผลาญป่าที่อยู่ห่างจากตัวเมือง และยังเข้าทำลายบ้านเรือนอีกหลายพันหลัง
รัฐบาลแคลิฟอร์เนียระบุว่า ถือเป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทางรัฐแคลิฟอร์เนียเคยเผชิญ
นักผจญเพลิงมากกว่า 10,000 ราย ต้องรับมือกับกลุ่มไฟที่ยังคงความรุนแรงอยู่อีก 16 แห่ง
สภาพลมที่รุนแรงถึง 70 กม./ชม.พัดเอาเปลวไฟเข้าไปยังเมืองอีกหลายแห่ง ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องอพยพ
บริเวณที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากที่สุดคือเมืองซานต้า โรซา ในพื้นที่โซโนมา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไวน์ ทำให้มีประชาชนต้องอพยพมากถึง 3,000 ราย เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา
นายเจอร์รี บราวน์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุว่า “เหตุเพลิงไหม้มหันตภัยครั้งนี้มันไม่น่าเชื่อเลย”
“มันเป็นภาพน่าหวาดกลัวที่ทุกคนไม่เคยจินตนาการไว้มาก่อน”
เหตุการณ์ไฟป่าครั้งนี้คร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ประชาชนมากกว่า 10,000 ต้องไร้ที่พักพิง และชุมชมที่อยู่อาศัยจำนวนมากต้องกลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน
เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา เหล่านักผจญเพลิงได้สร้างความคืบหน้าโดยการกำจัดพืชที่แห้งและเชื้อเพลิงชนิดอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดเหตุเพลิงไหม้โดยรอบของบริเวณที่มีผู้อยู่อาศัยทางด้านใต้ของเหตุไฟป่า
แต่ลมที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น บวกกับอุณหภูมิที่สูงและความแห้งในอากาศ ทำให้รัศมีของเพลิงไหม้ลุกลามไปไกลยิ่งขึ้น
ความรุนแรงของเพลิงไหม้ครั้งใหญ่นี้ส่งผลให้ควันและเถ้าถ่านปลิวไปยังซานฟรานซิสโก ที่อยู่ห่างไป 50 ไมส์ และเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ทางใต้ของกองไฟ
โรงบ่มไวน์กว่า 13 แห่งใน Napa Valley ถูกเพลิงไหม้จนหมด และทางเจ้าของโรงบ่มไวน์ในซานต้า โรซา ได้บอกกับทางบีบีซีว่า เพลิงไหม้ครั้งนี้ได้ทำลายไวน์ทั้งหมดมูลค่าหลายล้านดอลลาร์.