รู้จัก “เศรษฐา ทวีสิน” ว่าที่นายกฯเพื่อไทย ?
เศรษฐา ทวีสิน เป็นชื่อที่ถูกจับตามองว่า พรรคเพื่อไทย จะเสนอขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ชื่อของ “เศรษฐา ทวีสิน” นักธุรกิจ-กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ปรากฎขึ้นตามหน้าสื่อมวลชน หลังถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นว่าที่แคนดิเคตนายกรัฐมนตรี ที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทย
นั่นเพราะ “เศรษฐา” มีความคุ้นเคยกับทั้ง ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นอย่างดี บวกกับว่า หากทักษิณ ต้องการสลัดภาพที่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ของคนในครอบครัวชินวัตร ก็จำเป็นต้องเลือกคนนอก ที่ไม่ได้อยู่ในตระกูลชินวัตรมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ มิเช่นนั้น คนจะมองได้ว่า พรรคเพื่อเป็นธุรกิจครอบครัว
ถึงวันนี้พรรคเพื่อไทย ยังไม่เปิดเผยว่าจะส่งเสนอชื่อใคร เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่ชื่อของ “เศรษฐา ทวีสิน” ก็เป็นจับตาว่า อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่พรรคเพื่อไทย จะนำเสนอประชาชน
โดย “เศรษฐา” นั้น มีภาพลักษณ์ของนักธุกิจที่ประสบความสำเร็จระดับประเทศ ทั้งยังมีความคิดสมัยใหม่ ก้าวทันโลก ซึ่งก็พอดีกับที่เวลานี้พรรคเพื่อไทย กำลังปรับโฉม เปลี่ยนภาพลักษณ์เตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง
“เศรษฐา ทวีสิน” เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2506 จบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านการเงินจาก Claremont Graduate School สหรัฐอเมริกา
เขาเริ่มการทำงานในปี 2529 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท P&G ประเทศไทย (จำกัด) ก่อนหันมากทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และรับตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ถือเป็นเจ้าพ่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย
ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปี 2555 เขาตกเป็นข่าว หลังจาก “เอกยุทธ อัญชันบุตร” ออกมาพาดพิงกรณี ว.5 กับ ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ โดยเจ้าตัวปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง
หลังรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ออกประกาศเรียกบุคคลหลายฝ่ายเข้ารายงานตัว หนึ่งในนั้นคือ “เศรษฐา ทวีสิน” โดยก่อนหน้านั้น เขาวิจารณ์การชุมนุมของกลุ่ม กปปส.อย่างสม่ำเสมอ
หลังการเลือกตั้งปี 2562 เศรษฐา ทวีสิน วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อย่างต่อเนื่อง จนถูกจับตามองว่า วันหนึ่งเขาอาจกระโดดลงเล่นในสนามการเมือง
เตือนตุลาคา 2563 เศรษฐา วิจารณ์รัฐบาลที่สลายการชุมนุมของเยาวชนชนว่า เหตุการสลายการชุมนุมโดยการใช้กําลังถือว่าเป็นจุดตํ่าสุดของรัฐบาลนี้ ขอเรียกร้องให้หยุดทำลายอนาคตของชาติด้วยวิธีนี้และกลับมาแก้ไขโดยสันติวิธี
“หลายๆบริษัทคงต้องจริงจังกับการคิดปรับแผนการทำธุรกิจในช่วงสุดท้ายของปีอันเนื่องมาจากการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยแล้วลามไปถึงการใช้กําลัง ไม่ต้องสงสัยว่าความกังวลต้องสูงขึ้น ความมั่นใจหดหาย เศรษฐกิจส่อวุ่นวาย เพลียใจเหลือเกิน เป็นหน้าที่ของท่านนายกรัฐมนตรี พล อ ประยุทธ์ จันทร์โอชาที่ต้องยุติวิกฤตินี้ด้วยสันติวิธี” เศรษฐา กล่าว
เขาแสดงออกความชัดเจนว่าสนับสนุนการชุมนุมของเยาวชนในการขับไล่รัฐบาล โดยมองถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ปีหน้าผมจะอายุ 60 ปีแล้ว อย่างหนึ่งที่คนเจเนอเรชั่นอย่างเราจะต้องสำนึกก็คือ การเปลี่ยนแปลงของโลกนั้นอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น มีหลายธุรกิจที่ไม่สามารถไปรอด เพราะไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนจากต้องเป็นไปแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป สิ่งสำคัญคือถ้าผู้ใหญ่ไม่ยอมรับก็จะเหนื่อย มิเช่นนั้นก็จะเกิดการเสียเลือดเสียเนื้อได้”
เขาว่า สำหรับประเทศไทยนั้น สิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลงลำดับแรกคือรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง และส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จึงต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นการดับไฟแต่ต้นลม
เศรษฐา ยังเป็นเศรษฐีหนึ่งในไม่กี่คน ที่สนับสนุนกฎหมายภาษีมรดก โดยมองว่าการได้รับมรดก ถือเป็นรายได้ และคนรวยย่อมจะต้องจ่ายมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว เพราะถือว่าใช้ทรัพยากรของชาติมากกว่าคนปกติ
“ผมเห็นด้วยกับเรื่องภาษีมรดก และผมไม่เคยสนใจว่าเขาจะเก็บเท่าไหร่ เพราะคนควรจะจ่ายภาษี เมื่อคุณได้มาภาษีนี้ ไม่ใช่อยู่ดีๆจะไปเก็บตาสีตาสา ซึ่งไม่มีเหตุผล ที่อยู่ดีๆจะไปขึ้นภาษีของประชาชน แต่ภาษีมรดกนั้นเป็นรายได้ที่ต้องจ่าย
อย่างลูกผม ถ้าเกิดมันไม่มีปัญญาจ่ายภาษีมรดกที่ผมให้มัน ก็ขายทิ้ง ที่ผมมีมรดกเยอะมีทรัพย์สินเยอะ เพราะผมใช้ทรัพยากรของประเทศนี้เยอะ รถขนดินของผมวิ่งไปตามท้องถนน ทำให้ถนนเสื่อม เมื่อได้มาผมก็ต้องจ่าย เพื่อนผมบอกว่าจ่ายภาษีไปก็เอาไปโกง มันคนละเรื่อง โกงก็ต้องแก้ไข แต่ภาษีมรดก คุณต้องจ่าย ไม่จ่ายไม่ได้”