เศรษฐกิจไทยดิ่งไตรมาส 3 ขยายตัว 1.5%

• นักท่องเที่ยวจีนโตค่ำกว่าคาดปีนี้ ไม่ถึง 3 ล้านคน
• กดจีดีพีตลอดทั้งปีขยายตัวเพียง2.5% ต่ำกว่า ธปท.-คลัง
• ลุ้นปีหน้าขยาย 3.2% ฝากชีวิตคนไทยไว้ที่ส่งออก
สภาพัฒน์ ประเมินจีดีพีปีนี้ ขยายตัว 2.5% ลงมาอยู่ระดับต่ำสุดในช่วงระหว่าง 2.5-3% จากการประเมินในครั้งก่อน เนื่องจากจีดีพีไตรมาส3 ทรุดหนัก ขยายตัวเพียง 1.5% คนไทยต้องรอลุ้นปีหน้า 2.7-3.7% หลังส่งออกกลับมาบวกหนุนเศรษฐกิจอีกครั้ง

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 66 คาดขยายตัว 2.5% จากครั้งก่อนคาดโตในช่วง 2.5-3.0% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 1.4% และดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 1.0% ของ GDP
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ไตรมาส 4/66 นั้น นายดนุชา มองว่าโมเมนตัมในแง่การส่งออกเริ่มปรับดีขึ้น ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมจะปรับดีขึ้นตาม และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี 66 ยังเติบโตได้ และอยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่สภาพัฒน์ประเมินไว้ที่ 2.5%
“อาจมี base effect ช่วงไตรมาส 4 ปีที่แล้ว แต่เชื่อว่า 2.5% น่าจะใกล้เคียงกับทั้งปี2566” นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวและกล่าวว่า
สำหรับการประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี2567 ขยายตัวในช่วง 2.7-3.7% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาขยายตัวของการส่งออก การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ทั้งนี้ คาดว่า การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว 3.2% และ 2.8% ตามลำดับ มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ.ขยายตัว 3.8% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 1.7 – 2.7% ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.5% ของ GDP
พร้อมคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 35 ล้านคน คิดเป็นรายได้จากการท่องเที่ยวที่ 1.3 ล้านล้านบาท ขณะที่คาดว่า อัตราแลกเปลี่ยน เฉลี่ยทั้งปี 67 จะอยู่ในช่วง 34-35 บาท/ดอลลาร์ ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยที่ 80-90 ดอลลาร์/บาร์เรล
ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ที่สำคัญ
1. การกลับมาขยายตัวของการส่งออก ทั้งในแง่มูลค่าและปริมาณการส่งออกสินค้าของไทย ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม สอดคล้องกับแนวโน้มปริมาณการค้าโลกที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว
2. การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการลงทุนภาคเอกชน ตามยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับการดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมาย
3. การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับต่ำ การปรับตัวดีขึ้นของตลาดแรงงาน และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น
4. การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวไทย
นายดนุชา กล่าวว่า สำหรับข้อจำกัดของแรงขับเคลื่อนทางการคลัง โดยเป็นผลจากความล่าช้าของกระบวน การงบประมาณ ประจำปี 2567 รวมถึงการลดลงของพื้นที่ทางการคลัง ซึ่งจะกลายเป็นข้อจำกัดต่อการดำเนินนโยบาย เพื่อรองรับความเสี่ยงในระยะต่อไป
ขณะที่ ภาระหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ครัวเรือนรายได้น้อย ธุรกิจ SMEs และลูกหนี้ภาคเกษตร ท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยสูง รวมถึงผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งต่อผล ผลิตภาคเกษตร จากภาวะเอลนีโญ ทำให้ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าปกติ และอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร
“ความเสี่ยงจากการชะลอตัวมากกว่าที่คาดของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก จากผลของสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งสงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส และรัสเซีย-ยูเครน ตลอดจนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ยังมีข้อจำกัด” นายดนุชา กล่าวและกล่าวถึงสถานการณ์ในอนาคต
ทั้งนี้ แนวทางบริหารจัดการเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2566 และปี 2567 มีดังนี้
1. การดำเนินนโยบายการเงินการคลังอย่างเหมาะสมกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ ที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวท่ามกลางความเสี่ยงจากความผันผวนในระบบเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง โดยให้ความสำคัญต่อการเพิ่มพื้นที่ในการดำเนินนโยบาย (Policy space) ให้มีความเพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป ขณะเดียวกันต้องดำเนินนโยบายการเงินในระดับที่เหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับการดูแลการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพทางการเงิน และการปรับโครงสร้างหนี้ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน
รวมทั้งการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (Fiscal consolidation) โดยจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายภาครัฐ ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ เพื่อลดขนาดการขาดดุลการคลัง และเตรียมพื้นที่ทางการคลังไว้เพียงพอรองรับกับการดำเนินนโยบายที่จำเป็น ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น
2. การเตรียมมาตรการเพื่อรองรับผลจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การชะลอตัวของประเทศเศรษฐกิจหลัก และความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรให้ความสำคัญต่อมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
รวมถึงการดำเนินมาตรการด้านพลังงาน เพื่อสร้างกำลังการผลิตก๊าซธรมชาติในอ่าวไทย พร้อมบริหารจัดการแหล่งพลังงานสำรองให้เพียงพอในกรณีหากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น ขณะเดียวกัน ควรบริหารจัดการให้ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวตามกลไกราคาน้ำมันในตลาดโลก
3. การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า โดยเร่งรัดการส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่มีแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเกณฑ์ดี และการสร้างตลาดใหม่, การใช้ประโยชน์จากความตกลงเสรีการค้า (FTA) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) การส่งเสริมขีดความสามารถทางการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย รววมทั้งการป้องกันและแก้ปัญหามาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่มาตรการทางภาษี
4. การสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน โดยขับเคลื่อนการส่งออกให้สามารถกลับมาขยายตัวเพื่อเพิ่มระดับการใช้กำลังการผลิต การเร่งรัดให้ผู้ลงทุนได้รับการอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 64-66 เริ่มดำเนินการลงทุนให้เกิดขึ้นจริง เร่งแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะขั้นตอน/กระบวนการ ตลอดจนข้อบังคับ/กฎหมายต่างๆ
5. การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง กาจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างการรับรู้ต่อมาตรการ Long term resident visa (LTR) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ และกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการเข้ามาพำนักระยะยาว, การกระจายตลาดนักท่องเที่ยวให้มีความสมดุลมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีน โดยในปี2567 นี้สภาพัฒน์ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทย 7 ล้านคน ส่วนปีนี้ คาดไว้ที่ 3 ล้านคน แต่อาจจะไม่เป็นไปตามที่คาด เนื่องจากผลกระทบเศรษฐกิจในประเทศของจีน
6. การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้ง โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอ ส่งเสริมและพัฒนาระบบประกันภัยพืชผล เพื่อลดความเสี่ยงและช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เกษตรกร ตลอดจนสร้างนวัตกรรมเพื่อยกระดับมูลค่าเพิ่มและผลิตภาพในการผลิต กระจายความเสี่ยง และสนับสนุนความสามารถในการแข่งขัน
7. การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ โดยเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมปี และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ ในช่วงที่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 ยังไม่มีผลบังคับใช้ และเร่งรัดกระบวนการงบประมาณรายจ่ายปี2567 ไม่ให้ล่าช้าไปกว่าแผนที่กำหนด รวมถึงการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อให้งบประมาณประจำปี2567 สามารถเบิกจ่ายได้ไม่น้อยกว่า 90.4% โดยแบ่งเป็น งบรายจ่ายประจำ 97% และงบรายจ่ายลงทุน 65%