นายกฯ ตะลึง!! จีดีพีไตรมาส 3 หายวับ 0.5%
• ภาวะเศรษฐกิจกดันให้รีบเร่งทำงานอย่างหนัก
• มั่นใจ 1-2 สัปดาห์เสนอมาตรการกระตุ้นชุดใหญ่
• เดินหน้าแก้หนี้ประชาชนทั้งในและนอกระบบ
นายกฯ ผวาเศรษฐกิจไทยดิ่งเหว หลังจากสภาพัฒน์ฯ แถลงจีดีพีไตรมาสขยายตัวเพียง 1.5% คาดทั้งปีเติบโตเพียง 2.5% หายไป 0.5% ถือว่าสูงมาก ต้องมีมาตรการกระตุ้นเร่งด่วน ลั่น พร้อมแถลงแก้หนี้นอกระบบ 28 พ.ย.นี้
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงกระทรวง การคลังว่า ได้หารือกันเรื่องมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่งจะออกมาเป็นแพคเกจใหญ่ อาทิ มาตรการสนับสนุนทางภาษีระยะยาว ที่จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 1-2 สัปดาห์หน้า ซึ่งหากชัดเจนแล้วจะแถลงให้ทราบต่อไป
นายเศรษฐา กล่าวว่า อีกเรื่องที่หารือ คือ การแก้ไขปัญหาหนี้สินประชาชนทั้งระบบ ซึ่งตนได้สั่งการหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปดูแลแล้ว โดยแบ่งเป็นสองส่วนคือ หนี้นอกระบบ ซึ่งตนจะแถลงในวันที่ 28 พ.ย.นี้ และเรื่องการแก้ไขหนี้ในระบบ ตนจะแถลงในวันที่ 12 ธ.ค.2566
ส่วนกรณีที่เรื่องที่มีกลุ่มคน และประชาชนไม่เห็นด้วยเรื่อง การแจกเงินดิจิทัลและออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงิน 500,000 ล้านบาทนั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็เป็นการสะท้อนความคิดเห็นที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งรัฐบาลก็ได้แถลงไปเรียบร้อยแล้ว และเรื่องการไปอยู่ในมือของกฤษฎีกาแล้ว ซึ่งอย่างที่กล่าวไปว่า ตัวเลขเศรษฐกิจไทย จากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานว่า ไตรมาส 3 ของปี 2566 ที่ขยายตัวได้ 1.5% ต่อปี ซึ่งมันต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมาเลเซียที่เศรษฐกิจโตต่ำสุดที่ 3.3%ต่อปี
“ตำแหน่งผู้นำประเทศ เป็นความรับผิดชอบที่สูง มีหลายภาคส่วนที่ต้องดูแล ดังนั้น ก็ที่จะมาเสียสมาธิหรือ กำลังใจ จากที่คนค้านเรื่องเงินดิจิทัลคงไม่มี หรือไม่มีสิทธิจะมาเสียสมาธิหรือเสียกำลัง คงเป็นข้ออ้างไม่ได้ ที่จะไม่ทำงาน เพราะยังไงก็ต้องทำงานต่อไป ดังนั้นจึงไม่เสียกำลังใจและเสียสมาธิแน่นอน” นายเศรษฐา กล่าว
สำหรับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต นโยบายกระตุ้นท่องเที่ยว นโยบายซอฟต์ พาวเวอร์ และนโยบายการแก้ไขหนี้ทั้งระบบ ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งแต่ละเรื่องก็อาจทำได้ทันทีก็ทำเลย หรือบางเรื่องต้องมีกระบวนการบ้าง ดังนั้นรัฐบาลถือว่า มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
“รัฐบาลยังคงทำงานอย่างเต็มที่และภาคส่วนไหนพร้อมช่วยเหลือก็เราก็พร้อมร่วมงานทันที และเราก็ยังเข้าใจความลำบากของประชาชน เราเลยพยายามลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ในการประชุมครม.ทุกนัดก็จะเห็นว่ามีมาตรการออกมาเรื่อยๆ ทุกครั้ง ส่วนตัวเลขสภาพัฒน์แถลงนั้น ไม่ได้พลาดแค่ 0.1-0.2% และที่บอกว่าจะเห็น 2% ก็คืออย่างน้อยต้องได้ 2.0% แต่ตัวเลขที่หายไปคือ 0.5% ถือว่าสูงมาก เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความจำเป็นเร่งด่วนแล้วหรือเปล่า เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เราเป็นจริง” นายเศรษฐา กล่าว
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการอี-รีฟันด์ (e-Refund) กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ประชาชนสามารถเข้าร่วมได้ทั้งสองโครงการ โดยใครที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ภาษีก็สามารถเข้าร่วมโครงการอี-รีฟันด์ และหากรายได้ไม่เกิน 7 หมื่นบาท และหรือเงินฝากม่เกิน 5 แสนบาท ก็สามารถรอเข้าร่วมโครงการดิจิทัล วอลเล็ตได้