ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 26-27 ต.ค.2564
“พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีเรื่องวุ่นๆ ให้ลุ้นกันไม่ขาดสาย ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวในแผนเขี่ย “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ส.ส.พะเยา พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค พปชร. หลังจากที่ถูกปลดจากตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา”
เรื่องที่ 410 แผนการเขี่ย “ร.อ.ธรรมนัส” พ้นจากเลขาธิการพรรค คล้ายกับแผนการเขี่ยคนอื่นๆ ที่เคยนั่งเลขาธิการพรรคมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” อดีต รมว.พลังงาน “อนุชา นาคาศัย” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยใช้สูตรให้กรรมการบริหารพรรคลาออกจากตำแหน่งเกินครึ่งหนึ่ง ซึ่งตามข้อบังคับพรรคจะต้องมีการเลือกกรรมการ บริหารพรรคใหม่ เมื่อนั่นจึงจะเป็นการปรับโครงสร้างของพรรค
ว่ากันว่า ปมเขี่ย “ร.อ.ธรรมนัส” พ้นตำแหน่งพ่อบ้านพรรคนั้น มาจากการที่ ส.ส.ทนไม่ไหว โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ไม่พอใจอย่างมากกับกรณีที่ “ร.อ.ธรรมนัส” ทำโพล สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อจะนำมาประเมินคะแนนความนิยม และอาจมีผลในการตัดสินใจส่ง-หรือไม่ส่งลงเลือกตั้งครั้งหน้า
โดยประเด็นนี้ถูกมองว่า เป็นความพยายามเล่นพรรคเล่นพวก และเล่นงานทางการเมือง เพื่อที่ “ร.อ.ธรรมนัส” จะได้มีบทบาทในการควบคุม ส.ส.และเลือกเอาเด็กของตัวเองขึ้นมาลงเลือกตั้งครั้งหน้า
“พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.และ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ระบุถึงกระแสข่าวการปรับโครงสร้างพรรคว่า เป็นเรื่องที่กำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งขณะนี้ คณะกรรมการบริหารพรรคมีการหารือร่วมกันอย่างถี่ถ้วน และจะมีการปรับโครงสร้างพรรคในเร็วๆ นี้ เพื่อให้การทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกของพรรค เป็นไปตามยุทธศาสตร์ และแนวนโยบายของพรรค ส่วนความชัดเจนจะมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งใดหรือไม่นั้น ขอให้รอคณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาแล้วเสร็จก่อน
ทั้งหมดนี้ มีความหมายเดียวคือเวลาของ “ร.อ.ธรรมนัส” ใน พปชร.หมดลงแล้ว
โดยไม่มีใครตัดความสัมพันธ์ที่ดีและลึกซึ้งของ 3 ป.ได้
เรื่องที่ 411 วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ หนักหนานัก นอกจากจะกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในหลายจังหวัด ซึ่งทุกคนที่ได้ประสบกับสถานการณ์ต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า น้ำท่วมปี 64 หนักหนาสาหัสพอๆ กับน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี2554 กิจการขององค์กรท้องถิ่น ทั้ง วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ได้รับผลกระทบจำนวนมากเช่นกัน
“ดวงใจ อัศวจินตจิตร์” เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ได้เชิญชวน ผู้ประกอบการเข้าร่วมช่วย เหลือองค์กรท้องถิ่นผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก ทั้งในด้านเงินทุน เทคโนโลยีหรือเครื่องมือ อุปกรณ์ เพื่อช่วยแก้ไขทั้งปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง ในรูปแบบ การก่อสร้างและซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ การขุดบ่อเพื่อกักเก็บน้ำ การสร้างพนังกั้นน้ำ เป็นต้น
แต่การช่วยเหลือในครั้งนี้ก็ไม่ได้ช่วยเปล่านะ เลขาฯ บีโอไอ “ดวงใจ” บอก ผู้ประกอบการยังสามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นมายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี สัดส่วนไม่เกิน 120% ของเงินสนับสนุน หรือเพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็น 120% ของเงินสนับสนุนได้อีกด้วย ก็ขอเอาใจช่วยให้ผู้ประกอบการที่พอมีกำลัง เข้ามาช่วยเหลือกันเยอะๆ เพราะภารกิจกู้วิกฤตน้ำท่วม ลำพังภาครัฐเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะเพียงพอ
เรื่องที่ 412 รับผู้ตรวจ ATK เป็นบวกถึงบ้าน แม้สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในบ้าเราจะเริ่มคลี่คลายลงบ้าง แต่เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตและเตรียมพร้อมเปิดประเทศ 1 พ.ย.นี้ ปตท.ร่วมกับโรงพยาบาลปิยะเวท จัดตั้งจิตอาสา “End-To-End Mobile@1745”ภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกันขึ้น ระดมพนักงานจิตอาสากลุ่ม ปตท. ให้บริการรับสายเรียกเข้าจากผู้ที่ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยตนเอง ด้วยชุดตรวจคัดกรองแบบเร่งด่วน หรือ ATK ที่พบผลตรวจเป็นบวก เพื่อให้คำแนะนำทันที และส่งรถพยาบาลให้ความช่วยเหลือถึงบ้าน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
“พี่โด่ง-อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” CEO ปตท. บอก เพื่อนำเข้าสู่ระบบการรักษาอย่างต่อเนื่องครบวงจร ตอนนี้ได้นำร่องในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล 5 จังหวัดได้แก่นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาครและนครปฐมและที่ร่วมกับโรงพยา บาลปิยะเวท จัดตั้งขึ้นมานี้ มี Hospitel รองรับกว่า 1,000 เตียง โรงพยาบาลสนามสีเหลือง 300 เตียง และ ICU สนาม 120 เตียง ยังสามารถรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีภาวะโรคไตและต้องฟอกไตด้วย ผู้ที่ต้องการใช้บริการสามารถโทรศัพท์ไปที่หมายเลข 1745 หรือ Line Official Account : ลมหายใจเดียวกัน ATK พิมพ์ @ptt.covid-atk ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
“ภัยแล้ง น้ำท่วมและหนาวตาย” กลายเป็นพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในทุกช่วงฤดูของทุกๆ ปี เรื่องที่ 413 รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐแก้ไขอะไรไม่ได้เลยหรือ ปีก่อน เสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร โหวตรับงบประมาณปี 2564 มีการตั้ง “งบกลาง” ในความดูของ “นายกรัฐมนตรี” “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีสูงถึง 600,000 ล้านบาท งบรายการนี้ปกติจะถูกนำเอามาใช้ในภารกิจพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจรวมถึงใช้บรรเทาเยี่ยวยาภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยร้ายแรงอื่นๆ ตรงนี้ ก็พอเข้าใจได้ว่าปี64 “รัฐบาลประยุทธ์” ยังมะงุมมะงา หรืออยู่กับการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด และภารกิจที่เปิดเผยไม่ได้ จนแจกแจงได้ไม่ละเอียดชัดเจนว่าวงเงิน 6 แสนล้านบาทนั้น เอาไปใช้อะไรและเพื่อการใด ก่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนมากแค่ไหน เพราะ “งบกลาง” ในส่วนที่ใช้ต่อสู้กับปัญหาโควิดนั้น มีไม่ถึง 10% ของวงเงินเต็มด้วยซ้ำ แล้วส่วนใหญ่เอาไปใช้เพื่อการใดหนอ?
ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป. ขึ้นปีงบประมาณใหม่2565 เริ่มแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2564 กับวงเงิน “งบกลาง” ที่ปรับลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย แต่ก็ยังสูงถึง 571,000 ล้านบาท อยากให้คนที่ถือเงินภาษีประชาชนก้อนนี้ พูดให้ชัดๆ ว่าได้เตรียมวางแผนในการใช้จ่ายเงินจาก “งบกลาง” กันอย่างไร เพราะเห็น “เดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา” ผอ.สำนักงบประมาณ บอกกับนักข่าวก่อนเกษียณว่า เฉพาะเงินก้อนที่จะใช้จ่ายเพื่อรับมือกับโควิดฯ มีเพียง 16,000 ล้านบาท
ขณะที่ปีก่อนยังตั้งไว้สูงกว่าที่ 40,000 ล้านบาท หากหักก้อนนี้ไป ยังเหลือเงินในมือให้ “นายกรัฐมนตรี” ได้ใช้จ่ายในภารกิจพิเศษอีกราว 555,000 ล้านบาท เม็ดเงินมหาศาลก้อนนี้ ได้ถูกนำไปใช้วางแผนระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาโลกแตก! สำหรับเมืองไทยและรัฐบาลชุดนี้ เช่น ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม และหนาวตาย! กันหรือไม่ อย่างไร จำได้พอเลาๆ ว่า สิ่งที่ข้าราชการไทย พร่ำสอนกันมาก็คือ “เงินแผ่นดินไทย ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ แม้แต่สตางค์แดงเดียว” มาถึงยุคสมัยนี้ แจงการใช้จ่ายไม่ได้ถือว่าหายหรือไม่ ช่วยตอบโดยด่วน
ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินว่าเศรษฐกิจโลก (จีดีพี) ในปี 2554 นี้ น่าจะขยายตัวราว 4-5% แต่กับเมืองไทยสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ไม่ทันจบปัญหาโควิด มีปมน้ำท่วมบางส่วนของภาคเหนือ อีสานและภาคกลาง ตาม มาฉุดเศรษฐกิจให้ดำดิ่ง และเป็น ธปท. ที่หยิบเอามุมมองของนักวิเคราะห์ผลสำรวจ (Analyst Survey) ครั้งที่ 3 ในไตรมาส 4/2564 ออกมาเผยแพร่ สะท้อนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี เพราะระดับจีดีพีทั้งปี ที่คาดว่าจะโตเพียง 0.6% นั้น บ่งบอกศักยภาพในการบริหารงานของรัฐบาลได้ดีนัก แม้ว่าคนกลุ่มนี้เชื่อว่า เศรษฐกิจในไตรมาส 4 จะขยายตัวได้ดีกว่าหลายไตรมาสก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งเพราะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยว หากเป็นภาวะปกติเศรษฐกิจช่วงนี้จะเติบโตในแบบที่สามารถฉุดรั้งเศรษฐกิจทั้งปีให้ผงกหัวได้แน่ แต่มันไม่ปกติ ก็คงต้องว่ากันไปตามเกมได้แต่หวังใจว่าหลัง เปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้ จะไม่มีคลัสเตอร์ใหญ่ๆ ข่าวลบข่าวร้ายใดๆ มาบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวชาวต่าง ชาติ และจีดีพีของไทยจะได้รับอานิสงส์ในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้ หวังว่า จะเป็นเช่นนั้น…
เรื่องที่ 414 นานๆ จะเห็น “พี่คณิศ หรือ อ.คณิศ แสงสุพรรณ” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือเรียกสั้นๆว่า “อีอีซี” ช่วงนี้ มีอาการหัวเสียอยู่บ่อยๆ กับประเด็นข่าว ธนาคารพาณิชย์ไม่ปล่อยสินเชื่อโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ทั้งที่โครงการนี้ จะเริ่มต้นกู้เงินก้อนแรก (ครั้งแรก) ในเดือนพ.ย.2565 หนังสือพิมพ์ที่ลง “ตีกล่องดวงใจ” ของคนอีอีซีแตกสนิท วันรุ่งขึ้น “พี่คณิศ” จัดเต็มและจัดหนักตามสไตล์คือ “ไม่ด่า ไม่โกรธ” แต่ขอแถลงข่าวด่วนเพื่อชี้แจงขอเท็จจริงให้สื่อดีๆ ได้รับฟังปัญหาที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะแก้ไขให้ลุล่วงไปด้วยดี
ล่าสุด เอกชนคู่สัญญาโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ชำระเงินแล้ว 1,067.11 ล้านบาท คิดเป็น 10% ของสิทธิร่วมลงทุนในแอร์พอร์ต เรลลิงก์ จำนวน 10,671.09 ล้านบาท ให้แก่ รฟท. เพื่อเป็นหลักประกันว่า จะดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามบันทึกข้อตกลง ขณะเดียวกัน เอกชนคู่สัญญาได้ทำหนังสือขอเยี่ยวยาผลกระทบจากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนอยู่แล้ว เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า การแพร่ระบาดของโควิดจะสร้างความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวง.
โดย นพวัชร์