ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 18-19 ส.ค.2564
“ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจยังไม่ทันเริ่ม พรรคร่วมรัฐบาลยังไม่ทันได้ตั้งรับ แต่พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นทีจะต้องมาแตกคอกันก่อน เมื่อพรรคก้าวไกล โวยว่า ถูกพรรคเพื่อไทยสกัด ไม่ให้มีการเสนอชื่อ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ให้เป็นผู้ถูกอภิปรายด้วย”
เรื่องที่ 100 การเมืองกำลังร้อนๆ ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” พยายามอธิบายว่า ไม่ใช่ความเห็นของพรรคเพื่อไทย แต่เป็นมติที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่เห็นว่า “บิ๊กป้อม” และ “ธรรมนัส” แทบไม่ได้มีบทบาทอะไรเลย มิหนำซ้ำ ในการอภิปราย 2 ครั้งที่ผ่านมา แม้มีชื่อทั้ง 2 คน แต่ทั้ง 2 คน แทบไม่ถูกพูดถึง
“ภูมิธรรม เวชยชัย” รุ่นใหญ่พรรคเพื่อไทย บอกว่า เลขาธิการพรรคก้าวไกลต้องเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ อย่าใช้วิธีเล่าที่คลาด เคลื่อนข้อเท็จจริงฝ่ายเดียว ไม่งั้นคงทำงานกันยาก การพูดนอกห้องประชุมถือว่า ไม่เป็นสุภาพบุรุษ
“รังสิมันต์ โรม” ส.ส.ก้าวไกล โต้ว่า ใครที่บอกว่า ถามก้าวไกลแล้วว่าจะอภิปรายรัฐมนตรีคนไหน แล้วก้าวไกลไม่ส่งชื่อ “ประวิตร” มาคิดให้ดีก่อน “ปล่อยข่าว” เพราะก้าวไกลยืนยันหลายครั้งว่า อภิปราย “ประวิตร” เราอภิปราย “ประวิตร” มาตลอด 2 ครั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งป่ารอยต่อ และตั๋วช้าง ไม่มีเหตุผลที่ก้าวไกลจะไม่อภิปราย
ดูทรงเรื่องนี้ คงไม่จบง่ายๆ เพราะต่างคนต่างฝ่ายต่างมองในมุมของตัวเอง เรียกว่าไม่ใครยอมใคร ซึ่งก็เป็นมติใหม่ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยแทนที่ฝ่ายค้านจะวิจารณ์ ขุดคุ้ยรัฐบาล แต่กลับต้องมานั่งโต้เถียงกันเอง ทีนนี้ “ลุงตู่” คงผ่านศึกซักฟอกครั้งที่ 3 ไปได้สบายๆ เป็นแน่แท้ เหนื่อยแทนจริงๆ
เรื่องที่ หนึ่งศูนย์หนึ่ง (101) ขอแตะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะเห็น 2 ข้อเสนอที่ ผู้ว่าการฯ “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” มีให้ “รัฐบาลประยุทธ์” ทั้งเรื่องกู้เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท ชดเชยรายได้จากการจ้างงานที่หายไปกว่า 2.6 ล้านล้านบาท และปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 10% เมื่อเศรษฐกิจไทยกลับมาปกติ โดยเฉพาะประเด็นหลัง ถือเป็น “สึนามิทางเศรษฐกิจ” ที่ร้อนแรงสุดประจำปีนี้ ก็ได้ แซงปมโควิดและม็อบไล่รัฐบาลในยามนี้ไปเลยครับ เพราะนานๆครั้ง จะเจอผู้ว่าการฯ “ปล่อยหมัดถล่มรัฐบาลที่ตั้งตัวเองมากับมือ” หันซ้ายหันขาว ถามนายแบงก์ นักธุรกิจ นักลงทุน นักวิชการ ฯลฯ ไปจนถึงฝ่ายค้านทางการเมือง ต่างล้วนติดเบรก แนวคิดของ “ด็อก” อดีตเด็กสร้างของ “ธารินทร์ นิมมานเหมินท์” อดีตรมว.คลัง
ไหนๆ ก็วกเข้ามากระทรวงการคลังแล้ว พอดีจำได้ว่า “ด็อกเตอร์” หนุ่มๆ สมัยนั้น มีไม่มาก แต่พอรู้จักเดินชนไหล่กันเช่น “ดร.เศรษฐพุฒิ” หรือดร.นก และ “ดร.วิรไท สันติประภพ” หรือดร.ก้อ ทั้ง “2 ด็อก” ก็มีแต่ “รมว.คลัง ธารินทร์” เรียกใช้อยู่เป็นประจำ ถ้าจำไม่ผิดให้ฐานะลูกจ้างของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หรือธนาคารโลก ถูกส่งตัวมาช่วยประเทศไทยในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี2540
ขณะที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ขออนุญาตเอยนาม!! กับลุกซ์ใหม่ชื่อ “โทนี วู้ดซัม” ออกมาค้านสุดลิ่มทิ่มประตู ประเด็นของผู้ว่าการฯ เหตุผลคือ หนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยสูงมาก ใกล้แตะ 60% เข้าไปทุกขณะ การเพิ่มหนี้ในภาวะที่ศักยภาพการสร้างรายได้ของประเทศยังต่ำ ถือว่าเสี่ยงอย่างแรง ส่วนข้อเสนอให้ขึ้น VAT ก็ไม่สอดรับกับสถานการณ์ที่ทุกอย่างกำลังย่ำแย่ ต่อให้เศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว ก็ไม่ควรซ้ำเติมระบบเศรษฐกิจ
ความเห็นแตกต่างในครั้งนี้ ขอบอกตรงๆ ครั้งหนึ่ง “ทักษิณ” เคยเสนอความเห็นสวนทางกับ “ธารินทร์” แม้จะเป็นคนเหนืออู้คำเมืองด้วยกัน ประเด็น “ปิดแบงก์” แบบเหวี่ยงแห ยุควิกฤตต้มยำกุ้ง ไม่มากไม่น้อย แค่ 56 แห่งเท่านั้นเอง และเป็นอีกหนึ่งคำทักท้วงที่ทำให้ “ธารินทร์” ที่ชอบเรียก “2 ด็อก” ซึ่งปัจจุบันหนึ่งเป็นผู้ว่าการฯ ธปท.ปัจจุบัน และอีกคนเป็นอดีตไปแล้ว ต้องนำไปปรับแก้ไขแยก Good Bank และ Bad Bank ออกจากกัน และนำไปสู่การจัดตั้ง ACM แห่งชาติในเวลาต่อมา มุมมองของ “พี่โทนี” รอบนี้ “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” “ด็อกด็อก” ควรรับฟังเอาไว้
เรื่องที่ 102 หลังจาก “ปิด” สาขาแบงก์รัฐในห้างฯ มาตั้งแต่ 20 ก.ค.2564 หรือเกือบ 1 เดือนเต็ม ที่สุด! สมาคมแบงก์รัฐและธนาคารสมาชิก ภายใต้การนำของ “ฉัตรชัย ศิริไล” ประกาศเปิดให้บริการแก่ประชาชนแล้ว เริ่ม 18 ส.ค.เป็นต้นไป หมายความว่าลูกค้าสามารถจะเข้าไปใช้บริการในสาขาของแบงก์รัฐ ทั้ง 4 แห่ง คือ ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. และแบงก์อิสลาม ที่มีสาขาอยู่ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ ได้ทันที ไม่ว่าจะในพื้นที่ 29 จังหวัดสีแดงเข้มหรือพื้นที่อื่นๆ กระนั้น ลูกค้าที่ต้องการใช้บริการจะต้อง “ไม่การ์ดตก” และปฏิบัติตามคำสั่งของ ศบค.อย่างเข้มงวดด้วย แต่หากเป็นไปได้ ขอแนะนำให้ใช้บริการผ่านแอปฯ ของแต่ละแบงก์ หรือไม่ก็ใช้บริการผ่าน “โมบายแบงก์กิ้ง” น่าจะเวิร์กที่สุด! ง่าย…สะดวก..รวดเร็ว แถมไม่เสี่ยงอีกต่างหาก…ทราบแล้วเปลี่ยน!
เรื่องที่ 103 วิกฤติโควิด-19 ยังหนัก ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ทะลุเกินกว่า 2 หมื่น “ศูนย์พักคอย” จึงจำเป็น กรมโรงงานอุตสาหกรรมจึงประสาน อบต.หนองข้างคอก ชลบุรี จัดตั้งศูนย์พักคอย แยกผู้ป่วยโควิดที่ไม่มีอาการรุนแรงออกจากครอบ ครัว “ประกอบ วิวิธจินดา” บอกว่า ศูนย์ฯ นี้ จะเป็นสถานที่ให้ผู้ป่วยโควิดสีเขียวที่อยู่ระหว่างการรอส่งต่อโรงพยาบาลใช้เป็นที่พักชั่วคราว ซึ่งจะช่วยลดการแพร่ระบาดและการติดเชื้อ รับผู้ป่วยได้ประมาณ 50 เตียง แม้จะเตียงจะน้อย แต่ก็พอช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้บ้าง
ฟากฝั่ง ภาคเอกชน โดยเฉพาะ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ทั้งจี้ ทั้งย้ำ ให้ภาครัฐเร่งจัดสรรวัคซีนเพื่อให้แรงงานในภาคการผลิตได้รับการฉีดทั้งหมดโดยเร็ว และเปิดทางให้เอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนได้ เพราะตอนนี้ยอดเชื้อโควิดในแรงงานสูงถึง 1,600-1,7000 แห่ง แล้ว “เกรียงไกร เธียรนุกุล” รอง ประธาน ส.อ.ท. บอกสถานการณ์ตอนนี้ สุดๆแล้ว เอกชนดิ้นรนทุกทาง โรงพยาบาลสนามในโรงงานไม่มีพื้นที่แล้ว สิ่งที่กังวลคือ คลัสเตอร์โรงงาน หากลุกลาม ประเทศ ยิ่งลำบาก เพราะเหลือแค่กลไกเดียวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ดังนั้น วันที่ 3 สถาบันประกอบด้วย ส.อ.ท. หอการค้าไทยและสมาคมธนาคารไทย เข้าพบ “นายกรัฐมนตรี” ขอท่านเพียงเรื่องเดียวก็พบ เร่งฉีดวัคฉีดโดยด่วนที่สุด!! ส่วนอีก4 ข้อที่เหลือ เก็บเอาไว้เดือนหน้าไปพบ “ลุงตู่” อีกครั้ง ยังไม่สายครับ
ข่าวดี! เรื่องที่ 104 ของพี่น้องสวนลำไย ไม่ต้องเททิ้ง ผลผลิตอีกแล้ว เพราะตอนนี้ประเทศจีนผู้นำเข้ารายใหญ่ได้ ปลดล็อก อนุญาตให้ผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุลำใยสามารถ ส่งออกได้ หลังจากที่เพิ่งระงับไปเพียงไม่กี่วัน ส่วนโรงคัดบรรจุที่เหลือ หากมีการปรับปรุงและปฏิบัติตามเงื่อนไข ตามมาตรการป้องกันควบคุมศัตรูพืชในลำไยส่งออกไปจีนตามที่ฝ่ายไทยเสนอได้ก็จะอนุญาตให้ส่งออกได้ในระยะต่อไป นอกจากนี้ กรมการค้าภาย ยังจะช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลำไย ด้วยการดึงห้างสรรพสินค้ามาช่วยรับซื้อไปจำหน่าย และยังจะจัดกิจกรรมกระตุ้นการบริโภค ผ่านร้านธงฟ้า รถโมบายล์ และ ปั๊มน้ำมัน ปตท. บางจาก พีที เพื่อเปิดพื้นที่ให้เกษตรกรสามารถนำผลผลิตมาขาย อีกช่องทางหนึ่งด้วย ส่วนเรื่องทุเรียนที่พบโควิดบนกล่องบรรจุนั้น ล่าสุดติดมาจากพื้นที่ของจีนเอง ไม่ใช่หมู่เฮาประเทศไทยนะ
เรื่องสุดท้าย ไม่มีลำดับเลขที่ แต่ขอบอกก่อนว่า แอบไปถ่ายรูประเบียงตึกกรมบัญชีกลาง โดนทุบทิ้งมาแล้วครับ เพราะจมูกสวยๆ ของตึกดันไปบดบังทัศนียภาพตึกใหม่กระทรวงการคลัง จึงจำเป็นต้องทุบทิ้ง แต่ไม่ทราบว่า ทางขึ้น-ลงยังมีอยู่หรือใช้บันไดลิงปีนกันแล้ว ข้าราชการกรมบัญชีกลางน่าเดินไปถาม “รมช.คลัง” ท่านจะสร้างทดแทนขึ้นมาใหม่ หรือปรับปรุงให้ดีกว่าเก่าก็ขอความชัดเจนด้วย
“ปิ่นสาย สุรัสวดี” ที่ปรึกษา 10 กรมสรรพากร ไม่ได้เขียนถึงย้ายมาเป็นผู้ตรวจหรือไม่ ในเรื่องที่ 99 พอมีคนถามว่า “ปิ่นสาย” ย้ายเปล่า ขอชี้แจ้งแทน “เจ้าตัว” ขออยู่ที่เดิมครับ ไม่ไปไหนทั้งสิ้น เพราะรู้ตัวว่า มีดีเหนือกว่าใครทุกคนในคลังการกว้าขึ้นเพื่อไปต่อต้องทำใจและระวังตัวให้ดี หากจะเกษียณในอาชีพนี้ “อย่าผลีผลาม” เด็ดขาด
ย้ำอีกครั้ง “ปิ่นสาย” พูดแค่ ไม่ไปไหนทั้งสิ้น ที่เหลือผมเขียนขยายความเองครับ!!
โดย นพวัชร์