การค้าจีนเดือนธ.ค.ดีกว่าคาด
การส่งออกของจีนเดือนธ.ค.ปี 2558 ร่วงลงมา 1.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ ขณะที่ตัวเลขนำเข้าคือ 7.6% ถึงแม้ตัวเลขการส่งออก และนำเข้าของจีนเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาจะดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย แต่ย้งคงส่งให้ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปีย่ำแย่ที่สุดในรอบ 25 ปี
ฝ่ายบริหารงานทั่วไปของกรมศุลกากรให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 13 ม.ค. ว่า มูลค่าที่จีนได้ดุลการค้าสูงถึง 60,090 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 2,103,150 ล้านบาท (35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา
นักเศรษฐศาสตร์จากรอยเตอร์เคยคาดการณ์ว่าตัวเลขส่งออก และนำเข้าของจีนจะทรุดลงไปอยู่ที่ 8% และ 11.5% ตามลำดับ
ทั้งนี้อ้างอิงจากตลาดหุ้นดาวโจนส์ นี่นับเป็นการร่วงของการส่งออกเป็นครั้งที่ 6 ในรอบปีนี้ และส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกสำหรับทั้งปีที่ผ่านมาของจีนตกลงไปอยู่ที่ 2.8% เมื่อเทียบกับตัวเลขที่เคยพุ่งขึ้นไปสูงถึง 6.1% ในปี 2557
ถึงแม้สถานการณ์ในปัจจุบันของโลกจะยึดติดกับเศรษฐกิจและตลาดเงินของจีนอย่างมาก แต่นักวางแผนกลยุทธ์ได้ออกมาเตือนว่า ไม่ควรเสพข้อมูลการค้ามากจนเกินไป
นายดีเร็ค ซิสเซอร์ นักวิชาการประจำสถาบันวิสาหกิจอเมริกัน ให้สัมภาษณ์สื่อว่า “มีใบสั่งซื้อสินค้ามากมายที่เปลี่ยนแปลงในเดือนธ.ค. เนื่องจากหลายบริษัทเคลียร์บัญชีในเดือนนี้ ผมคิดว่าเราไม่ควรตีความตัวเลขเดือนธ.ค. ให้มากจนเกินไป”
มีการเผยแพร่รายงานนี้ ก่อนที่จะมีการประกาศตัวเลขจผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพีของทั้งปี ในสัปดาห์หน้า
สำนักงานวางแผนเศรษฐกิจชั้นนำได้รายงานเมื่อวันที่ 12 ม.ค.ว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโตประมาณ 7% ในปี 2558 ซึ่งเป็นไปตามเป้าของหน่วยงานจากภาครัฐ ตัวเลขนี้เป็นนับการชะลอตัวมากที่สุดของการขยายตัวในรอบ 25 ปี และตัวเลขการเติบโตลดลงจากเดิมอยู่ที่ 7.3% ในปี 2557 จากอุปสงค์ทั้งภายใน และนอกประเทศที่ซบเซาลง การกำหนดต้นทุนอุตสาหกรรมที่สูงเกินไป และเงินลงทุนที่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ผู้สังเกตการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจของจีนหลายคนเชื่อว่า ตัวเลขการเติบโตที่แท้จริงน่าจะน้อยกว่าข้อมูลจากทางภาครัฐ ทำให้มีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลคงจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นในปีนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เศรษฐกิจทรุดลงไปมากกว่านี้
จากข้อมูลที่เผยแพร่ออกมา ทำให้มีความกังวลว่า จีนจะใช้มาตรการอ่อนค่าเงินหยวนเพื่อหนุนภาคส่งออก
ขณะที่ทางการจีนได้ปฏิเสธถึงการลดค่าเงินหยวนเพื่อจุดประสงค์ในการแข่งขัน และการเข้าแทรกแซงเพื่อค้ำจุนเงินหยวน อย่างไรก็ตามสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการไปนั้นไม่อาจเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับคำมั่นจากรัฐบาล ที่พยายามจะทำให้การซื้อขายในตลาดเงิน และตลาดหุ้นตอบสนองต่อตลาดมากยิ่งขึ้น