“บางจาก” เปิดแผนลงทุน 4 ปี 77,000 ลบ.
บางจาก เปิดแผนลงทุน 4 ปี (2562-2565) ใช้งบ 77,000 ล้านบาท พัฒนาและขยายธุรกิจกลุ่มบางจาก โดยเน้นลงทุนในธุรกิจสีเขียว ตั้งเป้า EBITDA โตขึ้น 2 เท่า คาดปี 2566 EBITDA มากกว่า 30,000 ล้านบาท
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยแผนธุรกิจ 4 ปีข้างหน้า (2562-2565) โดยระบุว่า บริษัท บางจากฯ มีแผนลงทุน 77,000 ล้านบาท พัฒนาและขยายธุรกิจกลุ่มบางจากฯ ตั้งเป้ามีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม หรือ EBITDA โตขึ้น 2 เท่า โดยในปี 2566 คาดว่ามี EBITDA มากกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเติบโตอย่างเท่าตัวอีกครั้งหนึ่ง จากที่บางจากฯ เคยมี EBITDA กว่า 7,000 ล้านบาทในปี 2555 และเพิ่มเป็นประมาณ 14,000 ล้านบาทในปี 2560 ภายใต้การขยายการลงทุนในธุรกิจสีเขียว
ทั้งนี้ในกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน จากที่มีกำลังการผลิตสูงสุดที่ 120,000 บาร์เรลต่อวันในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีแผนยกระดับเพิ่มกำลังการกลั่นให้ได้ถึง 135,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2563 ควบคู่กับการลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่น YES-R Project และโครงการ 3E (Efficiency, Energy, and Environment Improvement) รวมทั้งลดการใช้พลังงานเพื่อมุ่งมั่นเป็นโรงกลั่นสีเขียวที่ทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมขยายธุรกิจ Trading ทั้งการซื้อขายน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป เชื้อเพลิงชีวภาพและแร่ลิเทียม ซึ่งมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นในอนาคต
กลุ่มธุรกิจการตลาด จากความสำเร็จของแบรนด์บางจากฯ ในช่วงที่ผ่านมา ด้วยส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 2 และเติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิดสถานีบริการ Greenovative Experience ของคนรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งใน 4 ปีข้างหน้านี้ ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็นร้อยละ 18 โดยมีแผนจะเพิ่มสัดส่วน EBITDA จากการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ ร้อยละ 10 และเพิ่มสัดส่วนรายได้ในธุรกิจ Non-oil และ Lube เป็นร้อยละ 30 ในปี 2565 พร้อมก้าวสู่อันดับ 1 ในใจของผู้ใช้บริการจากดัชนีชี้วัดความพึงพอใจของลูกค้า หรือ Net Promoter Score: NPS
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ซึ่งมีกำลังการผลิตไบโอดีเซลและเอทานอลรวม 1.8 ล้านลิตรต่อวัน นับเป็นธุรกิจและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จะมีการจัดตั้ง Bio Hub ในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง ทั้งด้านไบโอพลาสติก วัสดุชีวภาพ น้ำตาล Generation ที่ 2 และโปรตีนชีวภาพ ก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมชีวภาพคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี2562
ส่วนกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ บริษัท บางจากฯ ถือหุ้นเป็นอันดับ 2 ใน Lithium Americas Corp. ซึ่งมีกำลังการผลิตในเฟสที่ 1 ปริมาณ 25,000 ตันต่อปี และสามารถขยายกำลังการผลิตได้ถึง 50,000 ตันต่อปี โดยบางจากฯ ได้รับสิทธิ์ในการจำหน่าย วัตถุดิบให้กับโรงงานแบตเตอรี่ลิเทียมตามแผนการลงทุน ซึ่งปริมาณแร่ลิเทียมมีประมาณที่เพียงพอสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าได้จำนวน 62,500 คันต่อปี ทั้งยังมุ่งขยายการลงทุนในธุรกิจต้นน้ำที่บริหารโดยบริษัท OKEA ประเทศนอร์เวย์ กำลังการผลิต 25,000 บาร์เรลต่อวัน คาดว่าจะมี EBITDA จากการลงทุนเพิ่มขึ้น รวมทั้งแสวงหาแหล่งน้ำมันดิบและพลังงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
ด้านการนำเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น การพัฒนากระบวนการซ่อมบำรุงโรงกลั่นและการบริหารจัดการการขนส่งน้ำมัน และใช้เทคโนโลยี Artificial Intelligence (AI) วิเคราะห์ข้อมูลจากระบบเก็บฐานข้อมูล (Big Data) มาพัฒนางานบริการและบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า สร้าง Brand Loyalty และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาด้านการบริการ
นอกจากนี้ เพื่อลดผลกระทบจากความพลิกผันของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ สถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ หรือ BiiC จึงมุ่งพัฒนานวัตกรรมโดยมีแผนจัดทำ Corporate Venture Capital (CVC) และการวิจัยพัฒนา เพื่อการลงทุนใน Startup ของบริษัท สร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจในยุคที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยลงทุนในธุรกิจหลักของบริษัทฯ ร้อยละ 60 ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ร้อยละ 30 และเทคโนโลยีใหม่ที่น่าสนใจ ร้อยละ 10 พร้อมตั้งเป้าที่จะจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา (IP) อย่างน้อย 2 รายการ.