ชี้เศรษฐกิจการคลังไทยดียกชุด!
คลังเผยภาพภาวะเศรษฐกิจการคลัง ต.ค.62 ดียกชุด! เหตุได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่โตถึง 12.5% มากสุดในรอบ 19 ปี ย้ำ!เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยอยู่ในเกณฑ์ดี เงินเฟ้อต่ำ ว่างงานลด หนี้สาธารณะหด แถมทุนสำรองระหว่างประเทศพุ่งกว่า 2.2 แสนล้านดอลลาร์ ส่งให้เสถียรภาพภายนอกมั่นคง
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รอง ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผอ.สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค. แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือน ต.ค.62 ว่า ยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยการบริโภคภายในประเทศที่สะท้อนผ่านยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ บนฐานการใช้จ่ายภายในประเทศขยายตัวถึงร้อยละ 6.0 ต่อปี และเศรษฐกิจด้านอุปทานจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัว ถึงร้อยละ 12.5 ต่อปี สูงสุดในรอบ 19 เดือน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจภายนอกประเทศส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้ายังคงชะลอตัว ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ บนฐานการใช้จ่ายในประเทศขยายตัวเร่งขึ้นร้อยละ 6.0 ต่อปี ขณะที่ยอดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มฯ บนฐานการนำเข้าชะลอตัวร้อยละ -17.9 ต่อปี เช่นเดียวกับปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 2.0 ต่อปี และรายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัวที่ร้อยละ 0.1 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ปริมาณนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคชะลอตัวร้อยละ -1.8 ต่อปี และยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งชะลอตัวร้อยละ -7.6 ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากผู้ซื้อรอเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 57.9 เป็นผลมาจากความกังวลจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอันเนื่องมาจากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ “Brexit” และประเด็นการถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีของไทย (GSP)
ทั้งนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนยังคงส่งสัญญาณชะลอตัว โดยการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรสะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ชะลอตัวที่ร้อยละ -13.5 ต่อปี จากปัจจัยฐานสูงในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ หากพิจารณาเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังปรับผลทางฤดูกาลแล้ว พบว่า สามารถขยายตัวสูงขึ้นร้อยละ 9.0 ปริมาณนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวที่ร้อยละ 1.0 ต่อปี ส่วนการลงทุน
ในหมวดก่อสร้าง สะท้อนจากยอดการจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวร้อยละ -12.8 ต่อปี ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงชะลอตัวที่ร้อยละ -9.0 ต่อปี ส่วนดัชนีราคา
วัสดุก่อสร้างชะลอตัวที่ร้อยละ -3.1 ต่อปี โดยมีสาเหตุมาจากราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวลดลง ประกอบกับความต้องการใช้ในประเทศลดลง
ขณะที่เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศชะลอตัว สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ชะลอตัวที่ร้อยละ -4.5 ต่อปี เป็นผลจากการชะลอตัวของสินค้าส่งออกในหมวดน้ำมัน ทองคำ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ ข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อย่างไรก็ตาม สินค้าในกลุ่ม ผัก ผลไม้สดแช่แข็งและแปรรูป น้ำตาลทราย เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ยาง รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องสำอาง ยังคงขยายตัวได้ และตลาดส่งออกสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ชะลอตัวร้อยละ -7.6 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 506.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคพบว่า หลายประเทศมีการส่งออกชะลอตัวเช่นเดียวกัน เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย
ด้านเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน พบว่า ภาคการท่องเที่ยวและภาคการเกษตรขยายตัว ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังส่งสัญญาณชะลอตัว โดยภาคการท่องเที่ยวสะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีจำนวน 3.04 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 12.5 ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 19 เดือน โดยขยายตัวจากนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นหลัก ซึ่งขยายตัวที่ร้อยละ 27.8 ต่อปี นอกจากนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นที่ขยายตัวได้ดี อาทิ นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย เกาหลีใต้ และมาเลเซีย สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ มูลค่า 147,801 ล้านบาท ขยายตัวที่ร้อยละ 9.3 ต่อปีเช่นเดียวกับภาคการเกษตรสะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรที่ขยายตัวร้อยละ 1.2 ต่อปี ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมสะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัวร้อยละ -8.5 ต่อปี สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 91.2 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าเนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อเศรษฐกิจที่จะได้รับผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน การแข็งค่าของเงินบาทที่เป็นปัจจัยลบต่อภาคการส่งออก อีกทั้งการพิจารณาสินเชื่อมีความเข้มงวดมากขึ้นในกลุ่มของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 0.1 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าตามราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลงในประเทศ และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกำลังแรงงาน สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 41.1 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือน ต.ค.62 อยู่ในระดับสูงที่ 222.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ.