กอนช. ยันพายุ3ลูกไม่กระทบไทย
กอนช. ชี้ทิศทางพายุ 3 ลูก ไม่กระทบประเทศไทย เผยเร่งเตรียมพร้อมรับมือเอลนีโญในช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึง
กอนช. ติดตามทิศทางพายุ 3 ลูก “เซาลา” “ไห่ขุย” และพายุดีเปรสชั่น ไม่พบส่งผลกระทบต่อประเทศไทย แต่เตรียมเฝ้าระวังฝนตกจากร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของประเทศ เผยแหล่งน้ำทั่วประเทศยังมีน้ำน้อย เร่งเตรียมถอดบทเรียนฤดูแล้งที่แล้ว เพื่อออกมาตรการแล้ง
ที่จะถึงนี้ เพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
วันนี้ (30 ส.ค. 66) นายธรรมพงศ์ เนาวบุตร ผู้อำนวยการกลุ่มวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์น้ำ รักษาการในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมการประเมินสถานการณ์น้ำ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมทรัพยากรน้ำ กรมชลประทานกรมทรัพยากรธรณี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นต้น เข้าร่วมการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ว่า จากการติดตาม
สภาพอากาศร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา และ สสน. พบว่า ขณะนี้มีพายุที่อยู่ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก จำนวน 3 ลูก ได้แก่ พายุไต้ฝุ่น“เซาลา (SAOLA)” พายุโซนร้อน “ไห่ขุย (HAIKUI)” และพายุดีเปรสชั่นที่ก่อตัวใหม่ ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์แนวทางการเคลื่อนตัวของพายุ ปรากฏว่า พายุทั้ง 3 ลูก จะไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย จะมีเพียงร่องมรสุมที่พาดผ่านบริเวณประเทศไทยตอนบนเท่านั้นที่จะส่งผลให้มีฝนตกในบางพื้นที่ ซึ่ง กอนช. ได้ออกประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้าเพื่อเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลาก ในช่วงระหว่างวันที่ 29 ส.ค. – 3 ก.ย. 66 โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดพร้อมเตรียมรับมือสถานการณ์ตามประกาศอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ กอนช. ได้ติดตามปริมาณน้ำไหลเข้าสะสมในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (23-29 ส.ค. 66)พบมีปริมาณน้ำไหลเข้ารวม 772 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) โดยน้ำไหลเข้าสะสมในอ่างฯ ใหญ่ สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
เขื่อนวชิราลงกรณ 199 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนสิริกิติ์ 129 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนสิรินธร 85 ล้าน ลบ.ม. ตามลำดับ พร้อมกันนี้ได้คาดการณ์ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ ใหญ่ สะสมในช่วงสัปดาห์ถัดไป (30 ส.ค. – 5 ก.ย. 66) คาดว่าจะมีน้ำไหลเข้าสะสมเพิ่มเติมอีก 859 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน บรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งปัจจุบันมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่ต้องเฝ้าระวังน้ำน้อยถึง 7 แห่ง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ เพิ่มขึ้น แต่จากการติดตามสถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำทั่วประเทศ พบว่ายังมีปริมาณน้ำน้อยกว่าปีที่แล้วอยู่พอสมควร โดยปัจจุบันมีปริมาณน้ำรวม 43,863 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 53% ของความจุทั้งหมด ในจำนวนนี้เป็นปริมาณน้ำใช้การ 19,760 ล้าน ลบ.ม. นอกจากนี้ ปริมาณฝนสะสมทั้งประเทศ ตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบันก็ยังคงต่ำกว่าค่าปกติอยู่ถึง 21% จึงยังคงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการใช้น้ำอย่างประหยัด
นายธรรมพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์ของแหล่งน้ำทั่วประเทศที่มีปริมาณน้ำไม่มากนัก ประกอบกับสภาวะเอลนีโญที่ส่งผลให้มีปริมาณฝนน้อย และคาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า สทนช. จึงได้มีการออกมาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติมเพื่อเร่งป้องกันและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ ทั้ง มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 66 เพิ่มเติม จำนวน 3 มาตรการ เพื่อขับเคลื่อนในช่วงฤดูฝนนี้
พร้อมกันนี้จะมีการจัดประชุมสัมมนาถอดบทเรียนการติดตามประเมินผลการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง ปี 65/66 และการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์เอลนีโญ ในวันพรุ่งนี้ (31 ส.ค. 66) เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้งในฤดูแล้งหน้า
ก่อนจะมีการออกมาตรการฤดูแล้ง ปี 66/67 เพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญในช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึงอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพต่อไป