ฮ่องกงประท้วงปะทะเดือด เจ็บ 72
ตำรวจปราบจลาจลและกลุ่มผู้ประท้วงปะทะกันตั้งแต่เช้าของวันที่ 13 มิ.ย.ทั่วเขตธุรกิจการเงินของฮ่องกง หลังจากเกิดเหตุความรุนแรงจากการประท้วงร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่จีน
จนถึงเวลา 22.00 น.ของคืนวันที่ 12 มิ.ย.มีผู้บาดเจ็บถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลทั้งหมด 72 ราย โดย 2 รายอาการสาหัส จากข้อมูลของโรงพยาบาลฮ่องกง
โดยตำรวจใช้ทั้งกระสุนยาง แก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทยเป็นอาวุธในการเข้าเคลียร์ผู้ชุมนุมให้ออกจากบริเวณสภานิติบัญญัติ
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนก่อให้เกิดกระแสความกังวลทั้งในฮ่องกงและนานาชาติว่ามีความเสี่ยงที่ฮ่องกงจะถูกรุกล้ำจากทางการจีนมากขึ้น เนื่องจาก
ระบบศาลของจีนไม่ได้ใช้ระบบลูกขุน และอาจส่งผลร้ายกับกฎหมายของฮ่องกง ซึ่งมีสถานะเป็นฮับการเงินในภูมิภาค
ตำรวจปราบจลาจลหลายร้อยนายได้พักและมีการสับเปลี่ยนกำลังช่วงกลางคืน ขณะที่ผู้ประท้วงได้สำรองน้ำดื่ม แว่นตาและหมวก จากการรายงานของพยานในเหตุการณ์ของสื่อรอยเตอร์
ผู้ชุมนุมหลายพันคนยังคงปักหลักอยู่ใกล้สภานิติบัญญัติ ขณะที่อีกหลายพันคนกระจายอยู่ในเขตเซ็นทรัล ซึ่งเป็นย่านธุรกิจ เป็นที่ตั้งของบริษัทใหญ่บนตึกสูงทั้ง ธนาคาร HSBC และ AIA และเชนโรงแรมดังอย่างร.ร.แมนดาริน โอเรียนเต็ล
กลุ่มผู้ชุมนุมปิดเส้นทางสัญจรและการคมนาคมหลักรอบสภาในช่วงเช้า บีบให้ส.ส.ต้องเลื่อนการอภิปรายร่างกฎหมายที่เสนอออกไปก่อน
“ การประท้วงในวันนี้เกิดขึ้นเพราะแคร์รี แลมไม่ฟังเสียงของประชาชน 1.03 ล้านคน และปฏิเสธที่จะถอนร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนออกจากสภา” กลุ่ม Civil Human Rights Front ซึ่งเป็นกลุ่มผู้จัดการประท้วงระบุในช่วงเย็นของวันที่ 12 มิ.ย. โดยกล่าวหาว่าตำรวจกระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุบรรดาผู้ประท้วงยืนยันที่จะยึดพื้นที่ถนนต่อไปจนกว่ากฎหมายนี้จะถูกพับเก็บ
“ สำหรับแคร์รี แลม สิ่งเดียวที่ต้องทำคือการถอนร่างกฎหมายปีศาจออกไปหรืออย่างน้อยก็ระงับไว้ก่อนเพื่อแก้ไขวิกฤต” ส.ส.เฟอร์นานโด เฉิง ซึ่งสนับสนุนประชาธิปไตยกล่าว
“ ผมจะสู้ต่อ” เควิน เหลิง วัย 20 ปี กล่าวกับสื่อ AFP เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. “ เราจะสู้ต่อไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย”หลายชาติตะวันตกวิจารณ์กฎหมายนี้ ขณะที่จีนให้การสนับสนุน
ภายใต้ข้อตกลงการส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนให้จีนที่ทำไว้กับอังกฤษ จีนอนุญาตให้ฮ่องกงยังคงมีเสรีภาพและมีระบบยุติธรรมที่เป็นอิสระ ซึ่งเป็นรากฐานความสำเร็จทางเศรษฐกิจของฮ่องกงมานานกว่า 50 ปี
แต่มีความกังวลว่า จีนจะไม่ทำตามข้อตกลง โดยนักวิจารณ์ระบุว่า สถานการณ์ย่ำแย่ลงหลังจากประธานาธิบดีสีจิ้นผิงกระชับอำนาจมากขึ้นในจีนและทรงอิทธิพลไปตลอดไม่มีการสิ้นสุดวาระในการดำรงตำแหน่ง