“มุน”คุย”ทรัมป์”เรื่องเกาหลีเหนือ
เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ประธานาธิบดีมุนแจอินแห่งเกาหลีใต้มีการประชุมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯที่ทำเนียบขาว เป็นความพยายามที่จะหาทางเดินหน้าอีกครั้งหลังการประชุมที่ล้มเหลวระหว่างผู้นำสหรัฐฯกับผู้นำเกาหลีเหนือที่เวียดนาม
โดยประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีมุนกำลังประสานความร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อนำเกาหลีเหนือออกจากความโดดเดี่ยว แต่การประชุมที่ไม่ประสบความสำเร็จในเวียดนามช่วงสิ้นเดือนก.พ.ที่ผ่านมาทำให้ข้อตกลงหยุดชะงัก
ผู้นำสหรัฐฯให้การต้อนรับผู้นำเกาหลีใต้และภริยา คิมจองซุก อย่างสมเกียรติที่ทำเนียบขาวก่อนจะมีการพูดคุยกันในสำนักงานรูปไข่
ถึงแม้การค้าและบทบาทของกำลังพลสหรัฐฯที่มีจำนวนมากในเกาหลีใต้จะเป็นประเด็นร้อน แต่เรื่องเกาหลีเหนือมีความสำคัญกว่า
“ ผู้นำทั้งสองจะมีการพูดคุยกันโดยลงลึกในรายละเอียด เพื่อประสานจุดยืนในการสร้างสรรค์สันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีผ่านกระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์ ” ยุนดูฮาน โฆษกอาวุโสประจำทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ระบุก่อนหน้าการประชุม
การประชุมของทรัมป์กับประธานาธิบดีคิมจองอึนแห่งเกาหลีเหนือในสิงคโปร์เมื่อปีที่แล้วเป็นไปด้วยดี แต่การประชุมที่เวียดนามในปีนี้กลับไม่มีความก้าวหน้า เนื่องจากสหรัฐฯเรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติโครงการอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่เกาหลีเหนือต้องการให้มีการผ่อนคลายการคว่ำบาตรจากนานาชาติ ซึ่งส่งผลให้ทั้งสองผู้นำตัดบทการพูดคุย ยกเลิกทั้งการรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันและการออกแถลงการณ์ร่วม
ในสหรัฐฯ ทรัมป์ถูกวิจารณ์ว่าเขาไม่ได้มีการพูดคุยในเชิงลึกกับคิม และไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนักจากการพูดคุย แต่การเดินตัดบทออกจากการประชุมของเขา ทำให้ส.ส.พรรครีพับลิกันชมเชย เนื่องจากก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าเขาจะยอมอ่อนข้อให้คิมมากเกินไป
แต่สำหรับมุน เรื่องนี้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมา เขาเป็นตัวกลางคอยประสานสัมพันธ์ ผลักดันให้มีการท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้เข้าไปที่ภูเขาคัมกังในเกาหลีเหนือ และรื้อฟื้นให้มีการเปิดดำเนินการนิคมอุตสาหกรรมแกซองขึ้นมาใหม่ โดยนิคมแห่งนี้ หลายบริษัทจากเกาหลีใต้เคยมีการจ้างงานชาวเกาหลีเหนือจำนวนมาก
ทำให้มุน ซึ่งมีแผนจะเปิดเผยรายละเอียดของโครงการในวันที่ 1 มี.ค.หลังการประชุมที่เวียดนามต้องล้มเลิกแผนไป และเขาเริ่มถูกกดดันจากฝ่ายค้านขวาจัดในเกาหลีใต้ โดยส.ส.คนหนึ่งตั้งฉายาให้มุนว่าเป็น ‘โฆษกตัวท็อปของเกาหลีเหนือ’
ตัวคิมเองใช้สถานการณ์ที่ไม่มีทางออกในการพูดโต้ตอบการคว่ำบาตรจากนานาชาติ และออกโรงเตือนอย่างดุเดือดว่าประเทศของเขาจะไม่ยอมถูกกดดันประเทศเกาหลีเหนือจะ “ รับมือกับอำนาจที่ไม่เป็นมิตร ซึ่งประเมินผิดว่าการคว่ำบาตรจะทำให้เกาหลีเหนือต้องยอมคุกเข่าให้ ” สำนักข่าวของรัฐบาลรายงานโดยอ้างอิงคำพูดของเขาเมื่อวันที่ 11 เม.ย.
ทั้งนี้ ไม่นานหลังการประชุมที่ฮานอย มีการเปิดเผยภาพถ่ายดาวเทียมอย่างต่อเนื่องที่ชี้ให้เห็นว่า มีกิจกรรมมากขึ้นที่ฐานปล่อยจรวดโซแฮในเกาหลีเหนือ ทำให้นานาชาติตื่นตัวว่าเกาหลีเหนืออาจเตรียมการปล่อยขีปนาวุธอีก.