ส่องจุดขาย นโยบายเลือกตั้ง 66
ส่องจุดขาย นโยบาย กลยุทธ์หาเสียง และแนวทางการเมืองของแต่ละพรรค ก่อนเลือกตั้ง 66
มาดูกันว่า ในการเลือกตั้งปี 66 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ พรรคการเมืองต่างๆ ได้งัดกลยุทธ์ นโยบาย และแนวทางการหาเสียงอย่างไรบ้าง
พปชร.ป้อง 700 – ข้ามความขัดแย้ง
พรรคพลังประชารัฐ นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นำเสนอนโยบายเพื่อรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ประกาศพร้อมเดินหน้าการจัดทำนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาทต่อเดือน ให้กับประชาชน เริ่มมีผลทันทีหลังจากที่พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
ล่าสุด พรรคพลังประชารัฐ นำเสนอนโยบายเรื่องที่ทำกิน ให้ประชาชนสามารถมีที่ดินเป็นของตนเอง และแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง อย่างยั่งยืน ภายใต้สโลแกน “มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำ ไม่มีจน” และอีกสโลแกน “มีเรา มีที่ทำกิน มีที่ดินไม่มีจน” คาดหวังทำให้คนไทย และเกษตรกรมีที่อยู่อาศัย และสามารถทำกินบนที่ดินของตัวเอง
นอกจากนี้ พรรคพลังประชารัฐ ยังจะใช้แนวทางการหาเสียง ด้วยการโฆษณา “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” พร้อมสานสัมพันธ์กับทุกฝ่าย เพื่อเดินหน้าสร้างพลังแห่งความปรองดองและสามัคคี และพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายหาทางออกร่วมกัน เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายที่ดีที่สุดสำหรับคนไทยทุกคน
สำหรับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ก็คือ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคในวัย 77 ปี
รทสช.ประเทศไทยไปต่อ
พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่กำลังจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกฯ แม้จะยังไม่มีการประกาศนโยบายอย่างเป็นทางการ แต่ก็พอเดาออกว่าจะใช้แคมเปญในการหาเสียงว่า “ประเทศไทย ต้องไปต่อ” ซึ่งเป็นคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่กล่าวตอนหนึ่งบนเวทีปราศรัยครั้งแรก ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
แคมเปญหาเสียงนี้ คล้ายแคมเปญหาเสียงของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ในการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ที่ใช้สโลแกน “กรุงเทพฯต้องไปต่อ” โดยสื่อความหมายว่า จะสานต่อนโยบายเดิม เพิ่มเติมนโยบายใหม่
ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐ ชูแนวคิด “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” แต่สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ดูเหมือนจะตรงกันข้าม เพราะดูจากขุนพลของพรรคแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ตรงข้ามกับขั้วของ “นายทักษิณ ชินวัตร” มิหนำซ้ำยังดูดอดีตแกนนำเสื้อแดงเข้ามาร่วมพรรคอีกจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น เสกสกล อัตถาวงศ์ , เจ๋ง ดอกจิก , สมหวัง อัสราศี เป็นต้น
นั่นจึงทำให้มองได้ว่า แนวทางการเมืองของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือการอยู่ตรงข้าม ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลอย่างชัดเจน
เพื่อไทยขายนโยบาย-แคนดิเดตนายกฯ
พรรคเพื่อไทย มาในแคมเปญเลือกตั้ง “คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน” ภายใต้วิสัยทัศน์ ความพร้อมและอนาคตของประเทศไทยในอีก 4 ปีข้างหน้าหลังการเลือกตั้ง หรือ วิสัยทัศน์ในปี 2570
พรรคเพื่อไทย เปิดนโยบาย เด่นๆในเบื้องต้นไปแล้ว โดยในปี 2570 คนไทยต้องได้ค่าแรงขั้นต่ำให้สมกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย คือ ไม่ต่ำกว่า 600 บาทต่อวัน เงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไป
แนวทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย คือการรณรงค์ให้ประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทย ให้ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย หรือ แลนด์ไสด์ เพื่อปิดช่องไม่ให้ ส.ว.กล้าโหวตนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทย ยังมีความพยายามดึงมวลชนเสื้อแดงให้กลับไปสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง หลังจากพบว่า ขณะนี้เสื้อแดงจำนวนมาก ได้หันไปสนับสนุนพรรคก้าวไกลบ้างแล้ว
อีกจุดขายหนึ่งของพรรคเพื่อไทย ก็คือแคนดิเดนตนายกรัฐมนตรี ที่จะมีด้วยกัน 3 ชื่อ เบื้องต้นคาดไว้แล้ว 2 ชื่อ คือ 1)อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร 2)เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยทั้ง 2 ชื่อนี้ ล้วนสามารถดึงดูดแฟนคลับพรรคเพื่อไทย ได้เป็นอย่างดี
ก้าวไกลนโยบายการเมืองร้อน
ปัญหาของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งปี 66 นี้ คือกระแสของพรรคไม่แรงเท่าเมื่อการเลือกตั้งปี 2562 ที่มีตัวดึงดูดความสนใจอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล และ พรรณิการ์ วานิช
โดยในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคก้าวไกล ชู “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ในวัย 42 ปี เป็นแคนดิเดตนายกฯ โดยมีกลุ่มฐานเสียงเป็นคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรก
พรรคก้าวไกลนำเสนอแคมเปญ ‘กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม‘ ภายใต้สโลแกน การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ซึ่งมีความโดดเด่นในนโยบายด้านการเมือง ไม่ว่าจะเป็น
(1) “หยุดรัฐประหาร ปฏิรูปกองทัพ” ลดขนาดกองทัพ ลดจำนวนกำลังพล ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร คืนที่ดินกองทัพกว่า 6 ล้านไร่ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ และยุบ กอ.รมน. ยกเลิกกฎอัยการศึกชายแดนใต้
(2) “ตำรวจอยู่ข้างประชาชน หยุดรีดไถ” ให้มีผู้แทนทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลมีส่วนร่วมในการแต่งตั้ง ผบ.ตร.
(3) “ราชการโปร่งใส ไร้ทุจริต” ผ่านการเปิดข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างให้ประชาชนตรวจสอบได้ ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยสร้างระบบจับโกงอัจฉริยะ สร้างมาตรการคุ้มครองข้าราชการที่แฉการทุจริตในหน่วยงาน ปฏิรูป ป.ป.ช. ให้ยึดโยงกับประชาชน
(4) “เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด”
(5) “เปิดเพดานเสรีภาพ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม” การแก้ไขกฎหมายมาตรา 112, 116, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ปฏิรูปสถาบันศาลให้มีความยึดโยงกับประชาชน
ประชาธิปัตย์ ยังนิ่ง
ดูเหมือนว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะยังไม่มีอะไรหวือหวาเท่าที่ควร โดย เบื้องต้นพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดนโยบายซีซั่น 1 จำนวน 8 นโยบาย ได้แก่ 1)ต่อยอดจากความสำเร็จของการประกันรายได้ ทั้ง ข้าว มัน ยาง ปาล์ม และข้าวโพด 2)สร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรชาวนา
3)ฟรีนมโรงเรียน 365 วัน 4)สร้างความเข้มแข็งในฐานรากให้ชาวประมง ด้วยการให้เงินอุดหนุนกลุ่มเกษตรกรประมงกลุ่มละ 100,000 บาทต่อปี ทุกกลุ่ม ทั้ง 2,800 กว่ากลุ่ม 5)ประมงพาณิชย์ จะปลดล็อกประมงพาณิชย์ ภายใต้ IUU
6)ออกโฉนดที่ดิน 1 ล้านแปลง ภายใน 4 ปี ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาของพี่น้องที่ไม่มีที่ดินทำกิน อยู่ในที่รกร้างว่างเปล่า 7)ออกกรรมสิทธิ์ทำกินให้กับเกษตรกรที่อยู่ในที่ดินประเภทต่าง ๆ และ 8)ธนาคารหมู่บ้านและชุมชน แห่งละ 2 ล้านบาททั้งประเทศ
ส่วนแคนดิเดตนายกฯของพรรคประชาธิปัตย์คือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
ภูมิใจไทยพึ่งบ้านใหญ่
เลือกตั้งเที่ยวนี้พรรคภูมิใจไทย เน้นดูดบ้านใหญ่ เพิ่มความชัวร์การได้จำนวน ส.ส. โดยบ้านใหญ่หลายพื้นที่ต่างอยู่กับพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะเป็น เมืองพิจิตร นครปฐม ลพบุรี ศรีสะเกษ ฯลฯ
นโยบายพรรคภูมิใจไทย เช่น เครื่องฉายรังสี รักษามะเร็งฟรี ทุกจังหวัด, พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอกเบี้ย คนละไม่เกิน 1 ล้านบาท, เพิ่มค่าตอบแทน อสม. เป็นเดือนละ 2,000 บาท เจ็บป่วยมีประกัน, ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ฟรี หลังคาโซล่าเซลล์ ลดค่าไฟฟ้า หลังคาเรือนละ 450 บาท ต่อเดือน / มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ผ่อนเดือนละ 100 บาท 60 งวด, ศูนย์ฟอกไตฟรี “ทุกอำเภอ”
ส่วนแคนดิเดตนายกฯของพรรคคือนายอนุทิน ชาญวีรกูล
ชาติไทยพัฒนา ว้าว ไทยแลนด์
พรรคชาติไทยพัฒนา นำโดย นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา มาในแคมเปญ “ว้าว ไทยแลนด์” 10 นโยบาย ประกอบด้วย
1. รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (บรรหารโมเดล ปี 40) เราทำสำเร็จมาแล้ว
2.เกษตรรุ่นใหม่ ขายคาร์บอนเครดิตได้
3. แจกพันธุ์ข้าว ฟรี ทั่วประเทศ 60 ล้านไร่
4. ขยายเขตไฟฟ้าการเกษตรทั่วประเทศ หน่วยละ 2 บาท
5. บาดาล ขนาดใหญ่ ทุกตำบล น้ำสะอาด ทุกหมู่บ้าน
6. งบลงทุน ท้องถิ่น 10 ล้านบาท
7. เรียนในสิ่งที่ใช่ ใช้ในสิ่งที่เรียน
8. สุขภาพดีมีเงินคืน 3,000 บาท สวัสดิการอัปเกรดได้
9. สร้างงาน สร้างรายได้ แก่ผู้สูงอายุ เบี้ยคนพิการเดือนละ 3,000 บาท
และ 10. ขนส่งมวลชน เข้าถึงเท่าเทียม โดยย้ำว่าทุกนโยบายที่ประกาศออกมา เป็นนโยบายที่ทำได้จริง และเคยทำสำเร็จมาแล้ว