CPL ชี้ธุรกิจฟอกหนังทยอยฟื้นตามเศรษฐกิจโลก
CPL ระบุอุตสาหกรรมฟอกหนังทยอยฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก หลังจากรายได้ธุรกิจผลิตและจำหน่ายหนังสำเร็จรูป 9 เดือนแรกของปีนี้เติบโต 19.80% ขณะที่รายได้ฟอกหนังโต 26.92% ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรก บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 58.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 304.87% เผยเดินหน้ารับออเดอร์ลูกค้าผลิตหนังสำหรับถุงมือเบสบอลและพวงมาลัยรถยนต์ป้อนลูกค้าญี่ปุ่น รุกขยายตลาดเพิ่มนอกเหนือจากผลิตหนังสำหรับรองเท้า ขณะที่ลูกค้ากลุ่มรองเท้าทั้งอาดิดาส พูม่า ดร.มาร์ติน ยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง
นายภูวสิษฏ์ วงษ์เจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีแอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CPL เปิดเผยว่า หลังจากธุรกิจฟอกหนังอยู่ในภาวะซบเซาต่อเนื่อง ล่าสุดสถานการณ์เริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ ตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น สะท้อนได้จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี ซึ่งรายได้จากการผลิตและจำหน่ายหนังสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นจาก 722 ล้านบาท เป็น 865 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 19.80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ธุรกิจฟอกหนัง มีรายได้เพิ่มขึ้น 26.92% จาก 130 ล้านบาทในงวด 9 เดือนปี 2563 เพิ่มเป็น 165 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีนี้ เช่นเดียวกับรายได้จากธุรกิจอุปกรณ์นิรภัย (Safety Product) ที่เพิ่มขึ้นจาก 470 ล้านบาท เป็น 500 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 6.38% ทำให้กำไรสุทธิของบริษัทฯ งวด 9 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 304.87%
“ปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้ผลประกอบการดีขึ้นมาจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ในหลายๆ ประเทศประชาชนเริ่มกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ ทำให้การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา เราได้รับออเดอร์ฟอกหนังหมูที่ส่งออกไปประเทศจีนมากขึ้น โดยสามารถทำยอดได้สูงกว่าประมาณการที่วางไว้ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า อุตสาหกรรมหนังอาจจะผ่านจุดต่ำที่สุดไปแล้ว โดยมีแนวโน้มค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิด-19 ยังเป็นเหตุผลสำคัญที่สร้างความไม่แน่นอนในตลาด ดังนั้น บริษัทฯ จึงยังคงดำเนินนโยบายควบคุมต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายต่างๆ ต่อไปอย่างต่อเนื่อง” นายภูวสิษฏ์กล่าว
ทั้งนี้ เพื่อรองรับกับการฟื้นตัวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยกลับมาฟื้นตัว CPL ได้เดินหน้าขยายฐานลูกค้าเพื่อเพิ่มความหลากหลาย โดยได้เจรจาความร่วมมือในการผลิตหนังสำหรับถุงมือเบสบอล รวมถึงพวงมาลัยรถยนต์ ให้กับลูกค้าประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นความท้าทายของธุรกิจที่ขยายโอกาสและฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นจากฐานเดิมที่เป็นลูกค้าในกลุ่มผลิตรองเท้า โดยเฉพาะกีฬาเบสบอลในประเทศญี่ปุ่นได้รับความนิยมสูงมาก อย่างไรก็ตาม ในส่วนของลูกค้ากลุ่มรองเท้า ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำไม่ว่าจะเป็นอาดิดาส (ADIDAS), พูม่า (PUMA), ทิมเบอร์แลนด์ (TIMBERLAND), ดร.มาร์ติน (Dr. Marten) รวมถึงลาคอสต์ (LACOSTE) ก็ยังคงมีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต