GC โชว์กำไร 9 เดือน 36,008 ลบ.
GC โชว์ผลการดำเนินงาน 9 เดือน กำไรเพิ่มขึ้น 21% อยู่ที่ 36,008 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมเดินหน้า ธุรกิจรีไซเคิล สร้างโรงงานรีไซเคิล ขยะพลาสติกจากแหล่งน้ำ กำลังการผลิต 30,000-40,000 ตัน เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท เริ่มสร้างปี 63
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GC เผยความคืบหน้าธุรกิจพลาสติกรีไซเคิล (Recycled Plastic) ว่า อยู่ในระหว่างการศึกษาการลงทุนโรงงานรีไซเคิล พลาสติกครบวงจรมาตรฐานสากลระดับโลก ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม การแสวงหาพันธมิตรร่วมลงทุน รวมทั้งการจัดหาวัตถุดิบ (Waste Collection) ที่เหมาะสม คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในต้นปี 2562 และจะก่อสร้างประมาณปี 2563 โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งโรงงานรีไซเคิลดังกล่าวจะมีกำลังการผลิตประมาณ 30,000-40,000 ตัน
“บริษัทมีเม็ดเงินเพียงพอที่จะทำได้ ไม่รอมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐเพราะอาจจะล่าช้าไป เนื่องจากมีขยะในแหล่งน้ำประมาณ 5 แสน – 1ล้านตัน ที่รอการจำกัด แม้ว่าโรงงานดังกล่าวจะไม่ได้กำไร แต่สามารถสร้างการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีคุณค่าอย่างแท้จริง”
นอกจากนี้ GC ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแนวทาง Circular Living โดยขับเคลื่อนธุรกิจโดยนำหลัก Circular Economy มาประยุกต์ใช้ทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยมีแนวทางในการบริหารจัดการ 4 ด้าน ได้แก่ การบริหารทรัพยากร (Resources) ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง การบริหารจัดการกระบวนการผลิต (Production) โดยใช้หลัก 3Rs เพื่อก้าวไปสู่ 5Rs (Reduce, Reuse, Recycle, Renewable และ Refuse) การบริโภคและการนำไปใช้ (Consumption) ให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และการบริหารจัดการขยะ (Waste Management) อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายลดปริมาณการใช้พลาสติกชนิดใช้แล้วทิ้ง (Single Used Plastic) เช่น ถุงช็อปปิ้ง จำนวน 150,000 ตันต่อปี ให้เหลือ 0 ตันต่อปี ภายใน 5 ปี
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2561 บริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6% อยู่ที่ 136,712 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิรวมเพิ่มขึ้น 18% อยู่ที่ 12,793 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.84 บาท ส่วนผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปีนี้มีกำไรสุทธิรวมเพิ่มขึ้น 21% อยู่ที่ 36,008 ล้านบาท สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลมาจากธุรกิจโพลิเมอร์ มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น หลังมีกำลังการผลิตใหม่จากโรงงาน LLDPE จำนวน 400,000 ตันต่อปี ที่ได้เริ่มผลิตในเชิงพาณิชย์เมื่อเดือน มี.ค.2561 รวมทั้งธุรกิจอะโรเมติกส์มีกำไรเพิ่มขึ้น จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีนเป็นหลักและปริมาณการขายที่เพิ่มสูงขึ้น
นายสุพัฒนพงษ์ ยังคาดสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกในปี 2562 โดยระบุว่าจะเคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ที่ 75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากปีนี้ ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 72 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และยังคงต้องจับตาสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ หากบานปลายจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว แต่หากผลกระทบอยู่ในวงจำกัด ไม่น่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก คาดว่าช่วงไตรมาส 1/2562 น่าจะเห็นผลชัดเจนมากขึ้น ส่วนการดำเนินธุรกิจของบริษัทก็น่าจะเติบโตได้ดี จากปัจจัยบวกเรื่องการต่อยอดธุรกิจ การขยายตลาดไปกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี รวมทั้งโครงการเพิ่มมูลค่าผลผลิตจะส่งผลให้ธุรกิจในปีหน้าดีขึ้น