กรมโรงงานอุตสาหกรรมเผยไทยลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน
กรมโรงงานอุตสาหกรรมเผยความสำเร็จ ไทยลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนเกินเป้าหมาย ย้ำเดินหน้าระยะที่ 2 โดยตั้งเป้าที่จะเลิกการนำเข้าสาร HCFC ในปี 2573 ในงาน“วันโอโซนสากล ประจำปี 2564”
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ที่ทุกประเทศทั่วโลกต่างต้องเผชิญกับวิกฤติสถานการณ์เดียวกันแต่สถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับชั้นบรรยากาศโอโซนของโลกก็มีความสำคัญเพราะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทิตย์ให้ทุกชีวิตบนโลกด้วยเหตุนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จึงยังคงให้ความสำคัญโดยทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบการรณรงค์โดยเน้นการสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อสร้างความตระหนักและให้ความรู้เกี่ยวกับชั้นบรรยากาศโอโซน ในงาน “วันโอโซนสากล ประจำ 2564” ตามที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 16 กันยายนของทุกปีเป็น “วันโอโซนสากล” หรือ “World Ozone Day” เพื่อเป็นการระลึกถึงวันที่นานาประเทศได้ร่วมกันลงนามเป็นครั้งแรกต่อพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2530 โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการดำเนินงานตามพันธกรณีพิธีสารมอนทรีออล ได้จัดกิจกรรม“วันโอโซนสากล” เป็นประจำทุกปี
32 ปีที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ดำเนินงานให้บรรลุเจตนารมณ์ในการปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซนตามพิธีสารมอนทรีออลด้วยการดำเนินงานขับเคลื่อนเทคโนโลยีสารทำความเย็นและสารเป่าโฟมที่เป็นมิตรต่อชั้นบรรยากาศโอโซนและสภาพภูมิอากาศโลกผ่านการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (HCFC) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชั้นบรรยากาศโอโซนโดยประเทศไทยได้มีการดำเนินการมาเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง
นายประกอบวิวิธจินดาอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 32 ปีที่ผ่านมาหลังจากประเทศไทยให้สัตยาบันต่อพิธีสารมอนทรีออล กรมโรงงานอุตสาหกรรม ในฐานะผู้รับผิดชอบยังคงตระหนักถึงความสำคัญของการปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซนและสิ่งแวดล้อมของโลกอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเทคโนโลยีสารทำความเย็นเป็นมิตรต่อชั้นบรรยากาศโอโซน โดยดำเนินการเปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ เพื่อลดการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่าง กรมโรงงานอุตสาหกรรม ธนาคารโลก หน่วยงานภาครัฐ และ ภาคเอกชน ดำเนินโครงการลดและเลิกใช้สาร HCFC ของประเทศไทย ระยะที่ 1 ตั้งแต่ ปี 2557 – 2561 เรียบร้อยแล้ว ได้กำหนดเป้าหมายให้เริ่มควบคุมปริมาณการใช้ และลดปริมาณการใช้ในปี 2558 ลง 10 % ของค่าเฉลี่ยพื้นฐาน ซึ่งคำนวณจากค่าเฉลี่ยปริมาณการใช้สาร HCFC ในปี 2552 – 2553 และในปี 2561 ลดลง 15% ของค่าเฉลี่ยพื้นฐาน และประเทศไทยสามารถลดปริมาณการใช้สาร HCFC ในปี 2561 ได้มากถึง 61.9% ของค่าเฉลี่ยพื้นฐาน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้โดยผ่านกลไกการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแบบให้เปล่าและด้านเทคนิควิชาการแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการ และประชาชน
สำหรับแผนการในอนาคตในฐานะภาคีสมาชิกพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน เพื่อให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซนนั้น ประเทศไทย โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าโครงการลดและเลิกใช้สาร HCFC ระยะที่ 2 ซึ่งดำเนินงานตั้งแต่ปี 2563 – 2566 โดยมีเป้าหมายจะต้องลดปริมาณการใช้สาร HCFC
ลงตามลำดับ ในปี 2568 ลดลง 67.5 % ซึ่งคาดการณ์ว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย และมั่นใจว่าจะสามารถเลิกการนำเข้าสาร HCFC ภายในปี 2573 ได้
นอกจากนั้นโครงการในระยะที่ 2 จะมีการสนับสนุนเครื่องมือตรวจวิเคราะห์ชนิดสารทำความเย็น และเสริมสร้างศักยภาพให้แก่เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร รวมทั้งเพิ่มศักยภาพของศูนย์ฝึกอบรมโดยให้ความรู้เกี่ยวกับการติดตั้งและซ่อมบำรุงเครื่องปรับอากาศที่ใช้สาร HFC-32 เป็นสารทำความเย็น ในสังกัดกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยมีเป้าหมายในการจัดอบรมให้แก่ช่างติดตั้งและซ่อมบำรุงเครื่องปรับอากาศ จำนวน 5,500 คนอีกด้วย
“ทุกโครงการและกิจกรรมภายใต้การดูแลและสนับสนุนของกรมโรงงานอุตสาหกรรม จัดทำขึ้นเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน และปรับเปลี่ยนไปใช้สารทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเรายังคงเดินหน้าทำงานต่อไปไม่หยุด โดยมีทิศทางการทำงานและประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการอย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการและยกระดับกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็จะต้องพัฒนาและยกระดับฝีมือแรงงานที่เกี่ยวข้องไปพร้อมกันด้วยเพื่อให้การดำเนินการบรรลุเป้าหมาย นั่นคือสามารถทำให้ภาคอุตสาหกรรมเลิกใช้สาร HCFC โดยสิ้นเชิง รวมทั้งการรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความสำคัญของชั้นบรรยากาศโอโซน ที่ทำหน้าที่ปกป้องโลก และสภาพภูมิอากาศโลก เพื่อโลกของเราให้น่าอยู่ตลอดไป” นายประกอบ กล่าวทิ้งท้าย