ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 3-4 ก.ย.2564
“ศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจตลอด 4 วัน ความเข้มข้นไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาการนำเสนอของฝ่ายค้าน หากแต่เป็นเกมการเมืองของฝั่งรัฐบาลเอง นำเสนอโดย “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหรณณ์” ยกระดับชั้นในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินหน้าเปิดเกมรุก บีบ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ปรับ ครม. ถึงขั้นขู่ว่า จะให้ ส.ส.โหวตไม่ไว้วางใจ หากไม่ได้รับการตอบรับจากท่านผู้นำ”
เรื่องที่ 180 การที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย แฉกลางสภาเมื่อวันที่ 2 ก.ย. ว่า นายกฯ แจกเงิน ส.ส.คนละ 5 ล้านบาท คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ หากไม่มีพรายกระซิบให้ได้ยิน และไม่มีเกมการเมืองยุให้พูด
ส่วนความเคลื่อนไหวของ “ธรรมนัส” คงไม่กล้าเดินหน้าหัก “บิ๊กตู่” อย่างแน่นอน หากไม่ได้รับไฟเขียวจากผู้มีอำนาจเหนือ กว่า แล้วใครที่มีอำนาจเหนือกว่า “ธรรมนัส” ในพรรคพลังประชารัฐ ถ้าไม่ใช่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
มองกันว่า “บิ๊กป้อม” เองก็ไม่อาจทนแรงกดดันจากลูกพรรคของตนเองได้ เพราะที่ผ่านมา “บิ๊กป้อม” ต้องแบกรับภาระการดูแล ส.ส.เพียงลำพัง ขณะที่ “บิ๊กตู่” วางตัวอยู่เหนือปัญหา ไม่ได้หันมาสนใจใยดีดูแล ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ส่งผลเกมการเมืองช่วงนี้ จึงมองเป็น “ศึกสายเลือด” การเล่นการเมืองของพี่น้อง 3 ป เพราะกรณี “ธรรมนัส” บีบ “บิ๊กตู่” จึงไม่ต่างกับการที่พี่ใหญ่ “พี่ป้อม” บีบ “น้องตู่” ด้วย เพียงแต่ส่งมือขวาไปทำหน้าที่แทนก็เท่านั้น
โดยมีเป้าหมายให้ “ร.อ.ธรรมนัส” ขยับขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการฯ สมใจอยาก เตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งในปีหน้า
ถ้าแค่นี้ ไม่ได้ ปีหน้าเห็นที!! รัฐบาลคงไปต่อได้ยากลำบาก
เรื่องที่ 181 เปิดตัวสาขาแรกไปแล้วสำหรับร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในย่าน Chroy Changvar (30001) เมืองพนมเปญ กัมพูชา เห็นภาพที่ลูกค้าต่อแถวเข้าคิวยาวเหยียด ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะยามนี้ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ Softpower ของไทย ไปได้สวยและมีอนาคตสดใสในย่านอาเซียน เรียกว่า ที่ไหน? มีละครไทย ภาพยนตร์ไทย เพลงไทย อาหารไทย ฯลฯ พลอยให้สินค้าไทยขายดีไปด้วย อิทธิพลของ Softpower จากเมืองไทย อาจมีบางเสียงในโลกโซเชียล รู้สึกไม่พอใจกับการที่ธุรกิจสัญชาติอเมริกัน แต่บริหารงานโดยคนไทย (ซีพี ออลล์) และได้สิทธิขายสินค้าไทยในกัมพูชายาวนาน 30 ปี แถมต่ออายุได้อีกต่อเนื่อง แต่ก็เป็นเสียงของคนส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่ของชาวกัมพุช ต่างชื่นชอบและถวิลหาร้านเซเว่นฯ ในเมืองของตัวเอง แถมยังลามไปถึงเพื่อนบ้านชาติอื่นๆ โดยเฉพาะชาวเมียนมาที่อยากเห็นร้านเซเว่นฯ สาขาแรกในบ้านตัวเอง เชื่อว่าคงอีกไม่นาน “ซีพี ออลล์” คงรุกเต็มสูบแน่!
หลายปีก่อนนี้ เครือซีพีเคยเปิดตัวห้างแมคโคร ภาพที่ลูกค้าชาวกัมพุช แย่งคิวต่อแถวรอห้างเปิด หนานแน่นกว่านี้เยอะ! นัยว่า ลาวกัมพูชา และเพื่อนบ้านอาเซียน ต่างชื่นชอบสินค้าไทย ที่มากคุณภาพในราคาเหมาะสม ขนาดชาวเวียดนาม ดาวรุ่งระดับโลก ที่จีดีพีพุ่งทะยาน ตามยอดส่งออกที่เติบโตระดับ 2 หลัก ยังโดนสินค้าไทยตีแบรนด์ท้องถิ่นจนกระเจิง สร้างความกังวลใจให้กับภาครัฐและนักธุรกิจท้องถิ่นอย่างมาก แต่กับประชาชนแล้ว ในฐานะผู้บริโภค สินค้าคุณภาพมาตรฐาน ดีไซน์สวย และราคาเหมาะ คือ ปลายทางความต้องการ
อีกธุรกิจไทยที่ไปได้สวยในอาเซียนคือ “ธุรกิจโรงพยาบาล” อาจเพราะทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ของไทย มีชื่อ เสียง “โด่งดัง” ระดับโลก แล้วส่วนใหญ่ก็เรียบจบมาจากโลกตะวันตก โดยเฉพาะฝั่งอเมริกา จึงได้รับการยอมรับอย่างสูงจากชาวต่างชาติ คุณทีมแพทย์ อุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับโลก เมื่อรวมคุณภาพการบริการ อาหารการกิน สถานที่พักอาศัยระหว่างการรักษาตัว และราคาที่ถูกกว่าการรักษาตัวในยุโรปหรืออเมริกามากนัก แถมยังมีที่พักอาศัยรองรับลูกหลานญาติผู้ป่วยได้อยู่ใกล้ชิดกัน เมืองไทยจึงเป็นสวรรค์ของการรักษาพยาบาลบนโลกใบนี้ นี่คือเหตุผลทำไม… โรงพยาบาลจากเมืองไทยถึงได้เป็นที่ต้องการของคนในประเทศเพื่อนบ้าน ล่าสุด รพ.เกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ ที่เพิ่งเปิดใน สปป.ลาว ได้ไม่นานนัก ถึงมีคนลาวระดับกลางขึ้นบนเข้าใช้บริการหนาแน่น เรียกว่า ยอมจ่ายแพงอีกนิดเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า แถมในโรงพยาบาล ในห้างแมคโคร รวมถึงร้านเซเว่นฯ ยังจ่ายได้ด้วยสกุลเงินบาทอีกด้วย พลังของ Thai Softpower แรงแค่ไหนคิดเอาเองแล้วกันนะ
เรื่องที่ 182 วงการพลังงานจะเป็นเช่นไร เมื่อ 2 ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน อย่าง “ปตท.” และ “กฟผ.”จับมือกัน พัฒนาระบบโครงข่ายพลังงานร่วมกัน เพราะหลังจากทั้ง 2 หน่วยงาน ได้เซ็น MOU ร่วมลงทุนโครงการก่อสร้างคลังจัดเก็บและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Terminal) (แห่งที่ 2) ตำบลหนองแฟบ จังหวัดระยอง ซึ่งคาดการณ์กันว่าจะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายในไตรมาสที่ 3 ปี 65 ในสัดส่วน 50 : 50 แล้ว… 2 หน่วยงานนี้ก็ไม่รอช้า ยังได้จับมือร่วมกัน บริหารจัดการระบบโครงข่ายพลังงาน โดย กฟผ.จะบริหารจัดการระบบส่งไฟฟ้า ส่วน ปตท.จะบริหารระบบส่งก๊าซธรรม ชาติ ในส่วนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณเดียวกัน เพื่อความแข็งแกร่งของระบบโครงข่ายพลังงานของประเทศ…ที่น่าจับตาคือ บริษัทร่วมทุน หากมากระจายหุ้นถือมือประชาชนเมื่อไหร่ “ตลาดหุ้นไทย” คงจะคึกคักน่าดู…
เรื่องที่ 183 เตรียมแผนกู้เงินเอาไว เมื่อราคา “ก๊าซหุ้งต้ม” หรือ “LPG” ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 600 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน สูงกว่าปกติที่เฉลี่ยประมาณ 300-400 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจึง เริ่มร่อยหรอ ไหลออกไม่ต่ำกว่า 1,700 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อผยุงราคา LPG ส่งผลให้ปัจจุบันเงินกองทุนฯ เหลือเพียง 13,000 ล้านบาท สามารถใช้อุดหนุนราคาได้อีกแค่ 8 เดือน จะทำอย่างไรหละ เมื่อรายได้ต่ำกว่ารายจ่าย ภาษีน้ำมันที่เคยเก็บได้เป็นกองเป็นกำ วันนี้เก็บได้ต่ำกว่าเดิมลิบลับ
ทางออกก็คือ “กู้เงิน” หากต้องอุดหนุนราคา LPG ต่อไป แว่วๆมาว่า ขณะนี้ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ สกนช.กำลังร่างแผน จัดทำแนวทางขอกู้เงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง วงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อมาดูแลราคาพลังงานไม่ให้กระทบต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย เดือนกันยายนนี้ น่าจะมีการเสนอ ขออนุมัติหลักการกู้เงินจากคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มี รมว.พลังงาน เป็นประธาน และหากไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน สกนช. ก็จะเสนอ กบน.ขอลดการอุดหนุนทั้งน้ำมันและ LPG ลง เพื่อสร้างความสมดุลให้กับกองทุนน้ำมัน…ผลที่จะได้รับ คือ ราคาน้ำมัน และ LPG ต้องปรับขึ้นจากเดิม … ข้าว ของ ก็ต้องแพงขึ้นตามมา …
เรื่องที่ 184 สุดท้ายก่อนหยุดสุดสัปดาห์ เสาร์-อาทิตย์นี้ ขอแตะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารพาณิชย์ เพราะดูเหมือนขยันกันเสียจริง ล่าสุด ธปท.ประกาศมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุน การช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ประกอบด้วย 1.การปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อฟื้นฟูสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อกว่าคาดและยังมีความไม่แน่นอนสูง เพื่อช่วยให้บางกลุ่มที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟู มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือมากขึ้น ได้แก่ ขยายวงเงินสินเชื่อให้แก่ SMEs ที่เดิมมีวงเงินสินเชื่อเดิมต่ำ หรือไม่มีวงเงินกับสถาบันการเงิน เพราะใช้เงินทุนส่วนตัวหรือรายได้ของบริษัทในการประกอบธุรกิจเป็นหลัก และ2. เพิ่มการค้ำประกันและปรับลดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้กับลูกหนี้กลุ่มเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็น micro-SMEs และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ เพื่อเอื้อให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อแก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางได้มากขึ้น
และ2.ผ่อนปรนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสินเชื่อลูกหนี้รายย่อยเป็นการชั่วคราว ในส่วนของบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ และสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล เพื่อลดภาระการจ่ายชำระหนี้ ตลอดจนเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ที่มีความ สามารถในการชำระหนี้ได้ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.2564 จนถึงสิ้นปี 2565 โดยขยายเพดานวงเงินเป็น 2 เท่าของเงินเดือน สำหรับบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล กรณีผู้มีรายได้ ต่ำกว่า 30,000 บาท นอกจากนี้ สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล ผู้กู้สามารถขอสินเชื่อได้โดยไม่จำกัดจำนวนผู้ให้บริการ, คงอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ถูกปรับลดลงในช่วงการแพร่ระบาดก่อนหน้าเหลือร้อยละ 5 ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2565 และสุดท้ายขยายเพดานวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลจากรายละไม่เกิน 20,000 บาท เป็น 40,000 บาท และขยายระยะเวลาการชำระคืนจากไม่เกิน 6 เดือน เป็น 12 เดือน
โดย นพวัชร์