อัตราว่างงานสหรัฐฯต่ำสุดในรอบ 17 ปี
เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ยอดคนว่างงานในสหรัฐฯ ลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 17 ปี ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นหลักฐานพิสูจน์ว่านโยบายของเขาสัมฤทธิ์ผล
อ้างอิงจากรายงานของกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับการจ้างงานรายเดือน ระบุว่า การจ้างงานยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีอัตราที่ช้ากว่าที่คาดไว้ หลังจากเกิดเหตุเฮอร์ริเคนถล่มถึง 2 ครั้ง จนส่งผลกับเศรษฐกิจของประเทศ
แต่สำหรับการปรับปรุงเพื่อการสร้างงานเมื่อเดือน ส.ค.และ ก.ย.ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากการโจมตีของพายุนั้นน้อยกว่าที่ผู้คนต่างหวาดกลัวก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ตัวเลขในรายงานดังกล่าวมีการปรับแก้ไขดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลก็ยังคงแสดงให้เห็นว่า กำลังแรงงานที่หดตัว และ การสร้างงานสำหรับปี 60 ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ยังคงด้อยกว่าและตามหลังปีก่อนอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นปีสุดท้ายที่อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา เป็นผู้บริหาร
ยอดว่างงานลดลง 4.1% ซึ่งถือว่าลดลง 10 จุด จากเม่ื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าต่ำที่สุดสำหรับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นับตั้งแต่เดือนธ.ค. ปี 45 เป็นต้นมา
การกลับมาดำเนินกิจการและธุรกิจต่อดังเดิมหลังเหตุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ และเออร์มา ทำให้เหล่านายจ้างได้เพิ่มตำแหน่งงานใหม่กว่า 261,000 ตำแหน่ง แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์จะได้คาดการณ์ไว้ว่าอาจมีตำแหน่งใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 300,000 ตำแหน่งก็ตาม
ข้อมูลสำหรับเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ถือว่าไม่ได้เลวร้ายเท่ากับข้อมูลของรายงานในครั้งแรก โดยมีงานใหม่เพิ่มขึ้น 18,000 งาน เมื่อนับรวมกับการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในเดือน ส.ค. ทำให้มีงานกว่า 90,000 งานที่เพิ่มขึ้นภายใน 2 เดือน
ผลลัพธ์ดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ยังมีสถานภาพที่ดี และสามารถฟื้นฟูกลับมาจากการโจมตีของพายุได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าพายุทั้ง 2 ลูกจะสร้างความเสียหายให้กับแหล่งพลังงานของสหรัฐฯ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐเท็กซัส รวมถึงทำให้ผู้คนหลายล้านคนในฟลอริดาต้องหลบหนีออกจากบ้านของตัวเอง
ซาราห์ ฮัคคาบี แซนเดอร์ส์ โฆษกรัฐบาลระบุว่า “ งานใหม่ที่เพิ่มขึ้นราว 1.5 ล้านงาน รวมถึงงานที่เพิ่มขึ้นสูงกว่า 260,000 งาน ในเดือนก่อน นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันได้เข้ารับตำแหน่ง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าวาระของเขาคือการทำให้ชาวอเมริกันได้ทำงานอีกครั้ง ”
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ทวีตข้อความเพื่อฉลองความสำเร็จของเขาว่า “งาน! งาน! งาน!”
แต่ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ กลับกังวลว่า อัตราการว่างงานที่ลดต่ำลงจะทำให้ค่าแรงและอัตราเงินเฟ้อโดยรวมทั้งหมดเพิ่มสูงขึ้น แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ดังกล่าวก็ตาม.