ทั่วโลกแห่ต่อแถวซื้อไอโฟน X
เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา เหล่านักช็อปทั่วโลกต่างหลั่งไหลเข้าสู่หน้าร้านแอปเปิลทั่วโลกในแต่ละมุมเมืองของตน เพื่อต่อแถวเข้าซื้อไอโฟน X รุ่นใหม่ โดยแสดงให้เห็นถึงความต้องการสมาร์ทโฟนรุ่นพิเศษฉลอง 10 ปีของบริษัท ที่แซงหน้าสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ 2 รุ่นก่อนหน้านี้
ทั้งนักลงทุนและนักวิเคราะห์ต่างให้ความสนใจกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ พร้อมกับคาดการณ์ยอดขายของบริษัทซึ่งเตรียมตัวสำหรับฤดูกาลช็อปปิงในวันหยุดภายในอนาคต หลังพบว่ายอดขายไอโฟน X นั้นมียอดขายที่ดีกว่าที่คาดไว้มาก ถือเป็นสัญญาณว่าบริษัทแอปเปิลอาจทำเงินได้มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (33.28 ล้านล้านบาท)
ในวันที่ 3 พ.ย. หุ้นของบริษัทแอปเปิล พุ่งขึ้นสูงกว่า 3% เรียกว่าทำลายสถิติและกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าตลาดราว 890,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (29.62 ล้านล้านบาท)
นายจอร์แดน ชาปิโร วัย 34 ปี จากนิวเจอร์ซี ซึ่งเป็นชายคนแรกที่จะได้เข้าไปในร้านเรือธงของแอปเปิลในฟิฟธ์ อเวนิว แมนฮัตตัน ระบุว่า “ผมรอแทบไม่ไหวที่จะกลับไปยังออฟฟิศของผมและลองเล่นมัน”
จัสมิน ริเวอรา วัย 16 ปีจากลาเวกัส ระบุว่า เธอเองได้เข้าแถวซื้อไอโฟนรุ่นใหม่เพื่อเป็นสีสันในทริิปเที่ยวนิวยอร์กกับป้าของเธอ
เธอบอกว่า “ฉันตื่นเต้นและรอแทบไม่ไหวที่จะโชว์ให้เพื่อนของฉันดูค่ะ ฉันตื่นเต้นกับคุณภาพของกล้องและระบบจดจำใบหน้ามากเป็นพิเศษค่ะ”
ไอโฟน X สร้างจากกระจกและเหล็กสแตนเลส โดยซีอีโอของแอปเปิลอย่างทิม คุก ระบุว่า ไอโฟนรุ่นนี้ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ไอโฟนรุ่นแรก โดยไอโฟนรุ่นนี้เริ่มขายในราคา 999 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในอเมริกา
ไอโฟนรุ่นใหม่มีหน้าจอไร้ขอบ โดยออกแบบมาเพื่อแสดงผลหน้าจอสีที่จัดจ้านมากยิ่งขึ้น และรวมถึงนวัตกรรมกล้องที่ได้นำมาใช้กับระบบจดจำใบหน้าเพื่อปลดล็อคและใช้งานโทรศัพท์
เหตุการณ์ความตื่นเต้นทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในวันเดียวกันที่ทวีปเอเชียและยุโรป
ในออสเตรเลีย ผู้คนกว่า 400 คนต่อแถวอยู่ที่ด้านหน้าของร้านแอปเปิลหลักใจกลางซิดนีย์ เพื่อซื้อไอโฟนรุ่นใหม่ราคา 1,218 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นเพียง 30 ราย จากการเปิดตัวไอโฟน 8 ในเดือน ก.ย.
สำหรับร้านของแอปเปิลในโอโมเตะซันโดะ ที่โตเกียว มีผู้คนรอคอยอยู่ในแถวที่ทอดยาวไปกว่า 600 เมตรกว่า 550 คน
ขณะที่ในยุโรป ร้านของแอปเปิลในอัมสเตอร์ดัม เบอร์ลิน และลอนดอน ก็มีผู้คนต่อแถวอยู่หลายร้อยคนแต่สำหรับร้านในแฟรงค์เฟิร์ต และปารีส กลับมีจำนวนที่น้อยกว่า.