กสิกรฯพลิกวิกฤตโควิดฯ ฟาดกำไรครึ่งปีแรก’64 เฉียด 2 หมื่นล.
แบงก์กสิกรไทย ฝ่าวิกฤตโควิดฯ เผย! รวมบริษัทย่อย ทำกำไรช่วงครึ่งแรกปี’64 เฉียด 2 หมื่นล้านบาท คาดเศรษฐกิจซมพิษไวรัสยาว จนเป็นเหตุให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า พร้อมตั้งสำรองฯเพิ่มจากปีก่อนเกือบ 25%
น.ส.ขัตติยา อินทรวิชัย ปธ.จนท.บห. ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงผลการดำเนินงานของธนาคารฯและบริษัทย่อยในช่วงครึ่งแรกปี 2564 ว่า แม้จะเป็นช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่สาม แต่ยังมีกำไรสุทธิราว 19,521 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ราว 8,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 9,971 ล้านบาท หรือ 104.40 %
โดยงวดครึ่งปีแรกปี 2564 ธนาคารฯและบริษัทย่อยได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ลดลง 39.32% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นจำนวนถึง 32,064 ล้านบาท ภายใต้หลักความระมัดระวัง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อันเป็นวิกฤติการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในลักษณะนี้มาก่อน รวมถึง ผลที่อาจจะเกิดขึ้นจากมาตรการของทางการที่ให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ ทำให้ต้องติดตามดูแลคุณภาพหนี้อย่างใกล้ชิด แม้ภาวะเศรษฐกิจไทยในงวดครึ่งปีแรกของปี 2564 จะได้รับผลกระทบมากขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่
ทั้งนี้ ธนาคารฯและบริษัทย่อยได้ประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว ซึ่งคาดว่าการฟื้นตัวจะเลื่อนเวลาออกไป และยังคงให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่องผ่านมาตรการต่างๆ รวมถึงการปล่อยสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ลูกค้า
ดังนั้น จึงได้พิจารณาตั้งสำรองฯ ในงวดนี้ทั้งสิ้นจำนวน 19,457 ล้านบาท ซึ่งยังคงเป็นระดับสำรองฯ ภายใต้หลักความระมัดระวัง ซึ่งหากเปรียบเทียบไตรมาส 2 ปี 2564 กับไตรมาสก่อน ธนาคารฯและบริษัทย่อยตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้น 24.93%
สำหรับกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตฯ และภาษีเงินได้สำหรับงวดครึ่งปีแรก มี 47,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,332 ล้านบาท หรือ 2.90% เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2,686 ล้านบาท หรือ 4.87% จากการปล่อยเงินให้สินเชื่อแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยในงวดนี้ อัตราการเติบโตอยู่ที่ 6.17% มาจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่มีศักยภาพ โดยธนาคารฯได้ติดตามดูแลคุณภาพเงินให้สินเชื่อของลูกหนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ
อย่างไรก็ตาม ยังมีลูกค้าบางส่วนอยู่ภายใต้มาตรการความช่วยเหลือของธนาคารฯ ซึ่งรวมถึงมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยทำให้มีการบริหารจัดการดอกเบี้ยค้างรับที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ทั้งลูกค้าและธนาคารฯสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจปกติได้นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินรับฝากลดลงจากอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ลดลง ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) อยู่ที่ระดับ 3.20%
ขณะที่ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ลดลงจำนวน 1,031 ล้านบาท หรือ 4.28% ส่วนใหญ่จากการปรับมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) ของสินทรัพย์ทางการเงินซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด และรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยที่ลดลง แม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 1,110 ล้านบาท หรือ 6.57% หลักๆ จากค่าธรรมเนียมรับจากการจัดการกองทุน และค่านายหน้ารับจากการซื้อขายหลักทรัพย์ สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจำนวน 323 ล้านบาท หรือ 0.97% จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 41.54%
นอกจากนี้ ธนาคารฯและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้23,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 290 ล้านบาท หรือ 1.23% โดยพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่ม 2,157 ล้านบาท หรือ 24.93% จากไตรมาสก่อน ทำให้กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2 ปี 2564 อยู่ที่ 8,894 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนจำนวน 1,733 ล้านบาท หรือ 16.31%
โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 1,584 ล้านบาท หรือ 5.63% ส่วนใหญ่เกิดจากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) อยู่ที่ระดับ 3.22% ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 756 ล้านบาท หรือ 6.36% เป็นผลจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ รวมทั้งการปรับมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) ของสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด ในขณะที่ รายได้สุทธิจากการรับประกันภัยเพิ่มขึ้น
อีกทั้ง ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ เพิ่มขึ้น 538 ล้านบาท หรือ 3.25% ส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 41.78%
โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ธนาคารฯและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 3,886,863 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2563 228,065 ล้านบาท หรือ 6.23% ส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ และการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนสุทธิ สำหรับ เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) ณ วันที่ 30 มิ.ย. อยู่ที่ระดับ 3.95% โดยธนาคารฯมีการติดตามดูแลคุณภาพเงินให้สินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างใกล้ชิด ขณะที่สิ้นปี 2563 อยู่ที่ระดับ 3.93%
ด้าน อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ณ วันที่ 30มิ.ย.อยู่ที่ระดับ 154.09% โดยสิ้นปี 2563 อยู่ที่ระดับ 149.19% สำหรับ อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 30 มิ.ย. อยู่ที่ 18.19% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 15.86%.