หุ้นผู้ผลิตของเล่นร่วง หลังทอยอาร์อัสยื่นล้มละลาย
หุ้นของแมทเทลและแฮสโบรซึ่งเป็น 2 บริษัทผู้ผลิตของเล่นยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ดิ่งร่วงเมื่อวันที่ 18 ก.ย. จากความกังวลเกี่ยวกับข่าวผู้ค้าปลีกรายใหญ่อย่างทอย ‘อาร์’ อัส ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของทั้งสองบริษัทจะขอยื่นล้มละลายก่อนช่วงเทศกาลวันหยุด
แหล่งข่าวชี้ว่า ทางทอย ‘อาร์’ อัสกำลังดำเนินการเพื่อยื่นขอล้มละลายตามกฎหมายมาตราที่ 11 อ้างอิงจาก Reorg Research ซึ่งเป็นผู้เผยแพร่ข่าวและบทวิเคราะห์ระบุบนเว็บไซต์ว่า จะมีการยื่นล้มละลายในรัฐเวอร์จิเนียภายในวันที่ 18 ก.ย.
ทางทอย ‘อาร์’ อัสปฏิเสธที่จะให้ความเห็น ในขณะที่ทางแมทเทลและแฮสโบรต่างก็ไม่ได้ให้ความเห็นในประเด็นนี้เช่นกัน
ทอย ‘อาร์’ อัสเป็น 1 ใน 3 ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดสำหรับทั้งสองบริษัท อ้างอิงจากรายงานประจำปี โดยอีก 2 รายคือห้างวอล-มาร์ท และทาร์เก็ต คอร์ป
โดยแมทเทล ซึ่งเป็นผู้ผลิตของเล่นรายใหญ่ที่สุดในโลกระบุในรายงานประจำปีว่า บริษัทขายสินค้าโดยให้เครดิต ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และยังเตือนว่า การยื่นขอล้มละลายของลูกค้ารายสำคัญจะส่งผลกระทบต่อรายได้และผลกำไรของบริษัท
“ หากมีการยื่นล้มละลาย จะมีผลเสียหายรุนแรงกับซัพพลายเออร์ของเล่น ทางทอย ‘อาร์’ อัสต้องการเงินเพื่อซื้อสินค้าในชั้นล่วงหน้าก่อนที่จะมีเทศกาลวันหยุด” ลุตซ์ มุลเลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทที่ปรึกษาค้าปลีกของเล่น Klosters Trading กล่าว
ประเมินว่าค่าใช้จ่ายของการขายสินค้าในไตรมาส 4 ของทอย ‘อาร์’ อัสอยู่ที่ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยทอย ‘อาร์’ อัสเป็นผู้ค้าปลีกของเล่นที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของสหรัฐฯรองจากอเมซอน.คอม อ้างอิงจากการรวบรวมข้อมูลของมุลเลอร์
ทั้งนี้ หุ้นของแมทเทล ซึ่งเป็นผู้ผลิตตุ๊กตาบาร์บี้ร่วงลงมา 6.2% ปิดอยู่ที่ 14.87 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น ทำให้ยอดขาดทุนสะสมเพิ่มขึ้น ในขณะที่หุ้นของแฮสโบร ผู้ผลิตของเล่นอันดับ 2 ซึ่งเป็นผู้ผลิตของเล่นทรานสฟอร์เมอร์ และมียอดขายแซงหน้าแมทเทลในปีนี้ ก็ร่วงลงไป 1.7% ปิดอยู่ที่ 93.24 ดอลลาร์สหรัฐฯ
“ แมทเทลและแฮสโบรลงเรือลำเดียวกันในแง่ที่มีสินค้าคงเหลือของตัวเองจำนวนมากที่ทอย ‘อาร์ ’ อัส การยื่นล้มละลายของทอยอาจส่งผลให้ผลตอบแทนของแมทเทลล่าช้าออกไป” Jaime Katz นักวิเคราะห์จากมอร์นิ่งสตาร์กล่าว
ทั้งแมทเทลและแฮสโบรได้รายได้คร่าวๆ ประมาณ 10% จากรายได้ของทอย ในรายงานประจำปี 2559 ของทั้งสองบริษัท แมทเทลระบุว่า การจ่ายเงิน 1.4% ของรายรับทั้งหมดยังคงมีปัญหา ขณะที่ยอดของแฮสโบรอยู่ที่ 1.3%
ทั้งนี้ ซัพพลายเออร์ของผู้ค้าปลีกรายอื่นที่ยื่นขอล้มละลายในปีนี้ เช่น Payless ShoeSource ได้รับการใช้หนี้คืนเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก.