ทรัมป์ยุบหน่วยงานศก.หลังซีอีโอถอนตัวเพียบ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยุบ 2 หน่วยงานที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 16 ส.ค.หลังจากซีอีโอบริษัทยักษ์ใหญ่หลายคนประกาศลาออกเพื่อประท้วงท่าทีของผู้นำสหรัฐฯที่มีต่อเหตุรุนแรงในเมืองชาลอตส์วิลล์ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันหลายคนก็แสดงความไม่พอใจทรัมป์ ทำให้เขาเหมือนถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น หลังจากความเห็นของเขาที่ไม่ประณามกลุ่มผิวขาวสุดโต่งอย่างชัดเจนว่าเป็นสาเหตุของการจลาจลในชาลอตส์วิลล์จนทำให้มีผู้เสียชีวิต
โดยผู้นำสหรัฐฯกล่าวว่า เขาจะยุบทั้งสภาผู้ผลิตอเมริกันและคณะทำงานเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายหลังจากการขอลาออกของ 8 ผู้บริหารบริษัทชั้นนำ ซึ่งรวมถึง ซีอีโอของ Campbell Soup Co และซีอีโอของ 3M ซึ่งเป็นสองคนล่าสุด
ทั้งสองหน่วยงานถือว่าถูกยุบไปโดยอัตโนมัติเมื่อทรัมป์ประกาศในทวิตเตอร์ว่า “เพื่อไม่เป็นการสร้างแรงกดดันให้กับนักธุรกิจชั้นนำในสภาผู้ผลิตและคณะทำงานกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบาย ผมขอยุติบทบาทของทั้งสองหน่วยงาน”
Stephen Schwarzman ซีอีโอของ Blackstone Group ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับทรัมป์ในโลกธุรกิจ และเป็นประธานคณะทำงานเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบาย เขาได้ต่อสายหาผู้บริหารคนอื่นๆ เพื่อหารือเรื่องความเห็นของทรัมป์ที่มีต่อเหตุรุนแรงในรัฐเวอร์จิเนีย และเสียงส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าควรยุบหน่วยงานนี้ เขาจึงโทรศัพท์หาทรัมป์เพื่อแจ้งถึงการตัดสินใจของสมาชิกในการยุบองค์กร “การเหยียดผิว และฆาตกรรมเป็นเรื่องที่ควรประณามอย่างชัดเจน และไม่ได้เป็นสิ่งที่เท่าเทียมกันทางด้านจริยธรรมต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองชาลอตส์วิลล์”
Andrew Liveris ซีอีโอของ Dow Chemical Co ซึ่งเป็นประธานสภาผู้ผลิตอเมริกันกล่าวว่า เขาได้บอกทำเนียบชาวเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ว่า “ในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างสร้างสรรค์”
ทั้งนี้ คณะทำงานเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้คำปรึกษาทรัมป์ในเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายของรัฐบาล การสร้างงานและผลผลิต โดยสภาผู้ผลิตถูกจัดตั้งมาเพื่อส่งเสริมการเติบโตของงานในสหรัฐฯ
นอกจากทรัมป์จะถูกต่อต้านจากนักธุรกิจชั้นนำแล้ว ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันเองก็ดูจะไม่ให้การสนับสนุนเขาทั้ง Mitch McConnell ซึ่งเป็นผู้นำเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา , John Kasich ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ , ส.ว.Lindsey Graham และอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช ทั้งผู้พ่อและลูก
ประธานาธิบดีทรัมป์จำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรครีพับลิกันซึ่งครองเสียงส่วนใหญ่ในสภาคองเกรส เนื่องจากเขากำลังพยายามที่จะผลักดันนโยบายสำคัญในช่วงหาเสียงเลือกตั้งให้เป็นจริง รวมทั้งการปรับลดภาษีด้วย.