ปล่อยเพลงรัวๆ ส่องชีวิต “เทพไท” เมื่อพ้น ส.ส. ขอจับไมค์
ส่องชีวิตอดีต ส.ส.เทพไท เสนพงศ์ นักการเมืองตัวจี๊ดแห่งประชาธิปัตย์ หลังพ้น ส.ส.ถูกแบนการเมือง 10 ปี
เทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนักการเมืองเบอร์ต้นๆของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีสีสัน ท่วงท่าลีลาเหลือหลาย จนสามารถมัดใจชาวนครศรีธรรมราชมา ติดต่อกันเป็นเวลา 20 ปี ไม่เคยสอบตกแม้สักครั้งเดียว
แต่เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2564 ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้ เทพไท พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. ตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี ภายหลังศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช พิพากษาจำคุก เทพไทและ มาโนช เสนพงศ์ น้องชาย คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานความผิดทุจริตเลือกตั้งนายกฯ อบจ. ปิดฉากบทบาท ส.ส.ของ เทพไท เสนพงศ์
ถึงวันนี้เจ้าตัว ประกาศทำหน้าที่ ส.ส.นอกสภา พร้อมช่วยเหลือสารทุกข์ดิบชาวบ้านทุกเมื่อที่มีโอกาส
สำหรับ “เทพไท” เขาให้คำนิยมตัวเองว่า เป็นผู้แทนที่ครบรส ไม่ว่าจะเป็น สามารถทำงานรับใช้ประชาชนได้ เข้าถึงประชาชนเป็นอย่างดี รวมถึงลีลาการปราศรัยยังไม่เป็นสองรองใครอีกต่างหาก
“หลายคนบอกว่าผมเป็นนักการเมืองที่ครบเครื่อง คือผมปราศรัยได้ เป็นศิลปินร้องเพลง ร้องเพลงหนังตะลุง มโนราห์ รำหน้ารถแห่ได้ ทอล์กโชว์เข้าถึงชาวบ้าน มีส่วนร่วมกับประชาชนเป็นอย่างดี ทั้งหมดครบเครื่อง”
“ผมเป็น ส.ส.มา 20 ปี มีความผูกพันในการทำหน้าที่ ขณะเดียวกัน เมื่อถูกตัดสิทธิ์ผมก็รู้สึกว่าผมได้ทำหน้าที่มาอย่างเต็มที่แล้ว เมื่อวันนี้หมดโอกาสเป็น ส.ส.เราก็ใช้สิทธิ์ในฐานะประชาชนคนไทย ทำงานเป็นผู้แทนนอกสภาได้ ซึ่งผมก็จะทำหน้าที่เป็นผู้แทนนอกสภาไปก่อน”
สิ่งแรกที่เทพไท ทำหลังจากถูกตัดสิทธิจากการเป็น ส.ส.คือการ แต่งเพลง เข้าห้องอัดเสียง และเผยแพร่ผลงานเพลงออกสู่สายตาสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ทำจนกระทั่งมีคนมาชักชวนให้ออกเทป
เพลงเด่นของเขาคือ “รู้จักแล้วจะรักเอง” แต่งเอง มีท่อนแรกร้องว่า “รู้จักแล้วจะรักเอง ผมคุยไม่เก่ง แต่มีความจริงใจ ชาวนครศรีธรรมราชพึ่งได้ ผมชื่อเทพไท นามสกุล เสนพงศ์”
เทพไท เล่าที่มาของเพลงนี้ว่า “รู้จักแล้วจะรักเอง” เป็นสโลแกนประจำตัวที่ได้ใช้มาตั้งแต่เริ่มต้นเป็นนักการเมือง เพลงนี้เมื่อทำเสร็จ ได้ใช้เปิดในรถหาเสียงเลือกตั้งซ่อมเขต 3 นครศรีธรรมราช เพื่อให้ผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แฟนคลับ หรือแม่ยก ได้คลายความคิดถึง อดีต ส.ส.เทพไท
เทพไท เล่าถึงการถูกทาบทามให้ออกเทปว่า “เมื่อมีสถานะเป็นอดีต ส.ส. ก็มีนักแต่งเพลง และค่ายเพลงมาทาบทาม ยื่นข้อเสนอให้ร้องเพลง ออกอัลบั้มเพลงลูกทุ่ง ซึ่งผมขอขอบคุณ และปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวไป แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ผมอาจจะได้ร้องเพลงลูกทุ่งอยู่บ้างก็ตาม ก็เป็นการร้องเพลงเพื่อความบันเทิงสนุกสนาน เป็นนักร้องสมัครเล่น ไม่ต้องการเป็นนักร้องอาชีพ เพราะยังยืนยันที่จะเป็นนักการเมืองอาชีพมากกว่า จะรอโอกาสกลับมาสู่เวทีการเมืองในบทบาทของ ส.ส.อีกในอนาคต”
“อย่างที่บอก เมื่อผมพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.มีพรรคพวกในวงการบันเทิงเสนอให้ทำอัลบั้ม โดยจะมีนักแต่งเพลงสนับสนุน ซึ่งผมก็บอกว่าผมร้องสนุก ร้องเพื่อความบันเทิง ไม่ได้ต้องการจะเป็นนักร้องอาชีพ เพียงอยากให้ความสุขแก่ประชาชนในด้านการบันเทิงบ้าง ปกติผมก็แต่งเพลงเอง ซึ่งหลังจากนี้ก็จะทำเพลงเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมือง และอยากจะสื่อสารอะไรก็แต่งเป็นเพลง”
เทพไท เป็นนักการเมืองที่หลงไกลในเสียงเพลง โดยเฉพาะเพลงลูกทุ่ง ไม่ว่าจะเป็นตอนลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน หรือ อยู่บ้านกับครอบครัว เขาก็จะร้องเพลงไม่ว่างปาก
แม้กระทั่งเกิดสถานการณ์โควิด 19 เทพไท ก็ยังแต่งเพลง “หยุดเชื้อเพื่อชาติ” “หัวใจ อสม.” และ “โควิดรอบ 2”
“คือในช่วงสถานการณ์โควิดรอบแรก ผมมีเวลาว่างมาก จึงได้ร้องเพลงหยุดเชื้อเพื่อชาติ จากนั้นนักแต่งเพลงได้ปล่อยเพลงมาให้ร้องอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเพลง “หัวใจ อสม.” หรือเพลง “ปลดล็อคใบกระท่อม”
การปลดล็อคใบกระท่อม ถือเป็นผลงานที่เทพไท ภาคภูมิใจมากที่สุด เขากล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ได้มีโอกาสทำเรื่องพืชกระท่อมที่พี่น้องประชาชนในภาคใต้รอคอยกันมาเป็นเวลาเกือบ 100 ปี และประสบความสำเร็จ ถือว่าเป็นเรื่องที่ภูมิใจที่ได้แก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนคนกินพืชกระท่อมที่จะไม่ต้องหลบๆซ่อนๆและไม่ต้องตกเป็นผู้ต้องหาเข้าไปอยู่ในเรือนจำโดยการเสพสมุนไพรที่เรียกว่าพืชกระท่อม
กลับมาในส่วนของเพลง เทพไท ยังมีเพลง หย๊บอยู่บ้าน(แอบอยู่บ้าน) แต่งคำร้องโดย อาจารย์ไข่ ทองคำ เป็นเพลงที่มีความหมายให้เก็บตัวอยู่กับบ้าน อย่าออกไปในสถานที่มีผู้คนจำนวนมาก เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
เพลง กักตัวกักใจ แต่งคำร้องโดยอาจารย์ ไข่ ทองคำ เพลง แหล่ไอพีเอ็ม แต่งเอง โดยชวนดูไก่ชน วัวชนอยู่กับบ้าน และเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือเกษตรเลี้ยงวัวชน ไก่ชนด้วย
อีกเป้าหมายหนึ่งในฐานะผู้แทนนอกสภา ที่ “เทพไท” ต้องการเป็นคือ อยากเป็นคอลัมนิสต์ หรือ นักวิจารณ์การเมืองทางโทรทัศน์ เขาเชื่อว่ามีความสามารถด้านนี้อยู่ เพราะในอดีตเขาเคยเป็นทั้งผู้ดำเนินรายการการเมืองสายล่อฟ้า และโฆษกประจำตัวนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
“ผมตั้งใจจะเป็นคอลัมนิสต์ และอยากเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์การเมืองหลังจากถูกใบแดง แต่ตอนนี้ยังไม่มีจังหวะเวลาและโอกาสที่เหมาะสม เพราะในอดีตต้องอย่าลืมว่าผมเป็นผู้จัดรายการสายล่อฟ้า ซึ่งมีเรตติ้งสูงสุดของรายการการเมือง”
นอกจากนี้ เทพไท ยังเผยว่า เขาอาจทำหน้าที่เป็นนักตรวจสอบ เมื่อพบความไม่ชอบมาพากล ก็จะยื่นร้องเรียนต่อหน่วยงานตรวจสอบต่อไป
ท้ายนี้ “เทพไท” ยังเผยเคล็ดลับการเป็น ส.ส.ตลอดเวลา 20 ปีของเขาว่า “เราเองเป็นนักการเมือง ตัวต้องเป็นเหมือนซุปเปอร์สตาร์ ต้องให้ประชาชนศรัทธา คลั่งไคล้ ชอบ นิยม จับต้องได้ สัมผัสได้”