ธุรกิจจีนหนุนใช้โดรนส่งของ
การใช้วิทยาการหุ่นยนต์ในการส่งของจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อ้างอิงจากความเห็นของผู้ก่อตั้งอี-คอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของจีน
โดยนายริชาร์ด หลิว ผู้ก่อตั้ง JD.com ให้สัมภาษณ์กับสื่อซีเอ็นบีซีว่า การใช้เทคโนโลยีโดรนจะช่วยให้บริษัทค้าปลีกอย่าง JD.com สามารถให้บริการส่งสินค้าให้ลูกค้าในพื้นที่ห่างไกล โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว
“ ทุกวันนี้ เรามีคนส่งของมากกว่า 70,000 คนที่ทำงานอยู่บนท้องถนน ค่าใช้จ่ายมันแพงมาก คุณรู้ไหม หากคุณใช้โดรนส่งแทน ค่าใช้จ่ายจะลดลงมาก” เขากล่าว
JD.com และคู่แข่งอย่างอาลีบาบาสร้างฐานลูกค้าเป็นผู้ค้าปลีกชั้นนำในเมืองสำคัญ เช่น ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แต่จำนวนชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเป็นการเปิดตลาดใหม่ๆให้กับผู้ค้าปลีกในเมืองที่เล็กกว่าและในชนบทซึ่งโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พัฒนาเท่ากับเมืองใหญ่ ทำให้การดำเนินธุรกิจมีค่าใช้จ่ายสูง
“ ที่ผ่านมา เป็นเรื่องยากที่จะทำธุรกิจในชนบทที่ห่างไกล เพราะค่าขนส่งสูงมาก ค่าใช้จ่ายก็สูงเกินไป” นายหลิวกล่าว อ้างอิงจากข้อมูลของเขา การใช้โดรนในการขนส่งสินค้าจากเมืองไปชนบท แทนการใช้รถ หรือรถบรรทุก อาจช่วยลดค่าใช้จ่าย
“ ค่าขนส่่งจะลดลงอย่างน้อย 70% ซึ่งจะทำให้เรามีกำไร” เขาให้ความเห็น
ค่าใช้จ่ายของกระบวนการขนส่งสินค้า คิดเป็นประมาณ 70,000 ล้านยูโร อ้างอิงจากรายงานปี 2559 ของ McKinsey & Co. โดยค่าขนส่งในจีน เยอรมนี และสหรัฐฯ คิดเป็นมากกว่า 40% ของตลาดและอี-คอมเมิร์ซซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ใหญ่ที่สุดของการเติบโต
โดยรายงานเสริมว่า การขนส่งระยะทางไกลที่สุดคิดเป็นค่าใช้จ่ายส่วนที่สูงที่สุดในกระบวนการขนส่งสินค้า ซึ่งบางครั้งอาจมากกว่า 50% ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการสร้างความแตกต่าง บริษัทอี-คอมเมิร์ซหลายแห่งจึงเสนอบริการส่งของถึงมือลูกค้าภายในวันเดียวกับที่ซื้อ หรือ ส่งของด่วน เพื่อดึงดูดใจลูกค้า
ทาง JD.com มีโดรนที่บินได้เร็วกว่า 100 ก.ม.ต่อชั่วโมง สามารถส่งสินค้าที่มีน้ำหนัก 5 – 30 ก.ก.และกำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบให้สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 1,000 ก.ก. บริษัทพัฒนาความสามารถของโดรนมาตั้งแต่ปี 2558 ผ่านห้องแล็บนวัตกรรม JDX โดยในเดือนมิ.ย. ปี 2559 JD.com เริ่มทดสอบการบินและปัจจุบันกำลังดำเนินการบินทดสอบใน 4 มณฑล คือ ปักกิ่ง เสฉวน ส่านซี และ เจียงซู
“ เรายังคงต้องใช้แรงงานคนเพื่อใช้กล้อง เพื่อสังเกตการณ์หรือควบคุมโดรน เรายังคงต้องจ้างงานจำนวนมากเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งระบบ แต่หากคุณมองดูภาพรวมทั้งประเทศ หรือสังคมโดยรวม ผมคิดว่าหลายคนก็คงต้องตกงาน” เขาเสริม
ทั้งนี้ เขาคาดการณ์ว่า เทคโนโลยีจะปฏิวัติอุตสาหกรรมค้าปลีกภายใน 5 ปี และสำหรับทศวรรษหน้า เขาเชื่อว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปเร็วกว่าที่เคยเป็นในศตวรรษที่แล้ว “ ผมคิดว่ามันจะนำไปสู่การปฏิวัติครั้งใหญ่” เขาให้ความเห็น.