น่านเมืองสวยสุดพรมแดนล้านนา
เข้าสู่ช่วงปลายปีทีไร มันรู้สึกอึดอัดร้อนรุ่มหัวใจยังไงบอกไม่ถูก เป็นอาการที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นประจำทุกปี จนทนไม่ไหวต้องเก็บเสื้อผ้ายัดใส่เป้ มุ่งขึ้นสู่ถิ่นเหนือเพื่อไปหาที่สูดอากาศหนาวบนยอดดอยให้คลายอึดอัด ใครที่รู้สึกว่ามีอาการแปลกๆ คล้ายคลึงกับที่ว่ามา ก็เตรียมเก็บกระเป๋าแล้วตั้งเข็มทิศชี้ไปยังภาคเหนือฝั่งตะวัน ออก น่าน…นั่นล่ะครับ คือปลายทางที่เราจะไปสูดอากาศหนาวด้วยกัน
รู้จักคุ้นหูกันมานานว่า น่าน เป็นถิ่นงาช้างดำ แต่พอถามคนรอบข้างส่วนใหญ่ว่าเคยไปเที่ยวใหม? คำตอบที่ได้ทำให้น่านเป็นเหมือนจังหวัดตกสำรวจยังไงก็ไม่รู้
ว่ากันในแง่ความเป็นถิ่นล้านนา และธรรมชาติอันงดงาม น่านไม่ได้ด้อยไปกว่าเชียงใหม่ เชียงราย หรือลำปาง เท่าไหร่นัก เว้นเสียแต่จะมองในแง่ความเจริญทางวัตถุ ซึ่งต้องยอมรับว่าล้าหลังกว่าจังหวัดที่ว่ามานับเป็นสิบปี แต่นี่ล่ะคือเสน่ห์ทางการท่องเที่ยว วันนี้จะหาหัวจังหวัดทางภาคเหนือที่ยังพอหลงเหลือสภาพบ้านเมืองสงบๆ ยังคงรุ่มรวยซึ่งเอกลักษณ์ความเป็นพื้นถิ่นอย่างน่านนั้น หาได้ยากเต็มทน และเชื่อว่าสภาพเช่นนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะว่าคงยากที่จะต้านทานกระแสความเจริญทั้งจากการเข้าร่วมโครงการประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน บวกด้วยการเจริญเติบโตของเมืองที่ต้องขยับขยายเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี ทั้งจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด และผลพวงจากนักลงทุนต่างถิ่น ใครมีโอกาสตอนนี้ ก็ควรรีบแวะไปเก็บภาพทรงจำดีๆ สวยๆ งามๆ เอาไว้เลย
ในอดีตนั้นเมืองน่านมีฐานะเป็นเมืองปิด สถานการณ์ทางชายแดนไม่ค่อยมีเสถียรภาพเท่าไรนัก แต่ในปัจจุบันนี้ น่านคือเมืองเปิดที่สามารถออกทางผ่านด่านชายแดนห้วยโก๋น-น้ำเงิน ในอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ทางด้านเหนือสุดของจังหวัดมีออกไปเยี่ยมเยือนเพื่อนบ้านได้ถึง 3 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็น หลวงพระบางเมืองมรดกโลกของลาว, เมืองลา ทางตอนใต้ของประเทศจีน หรือว่า เมืองเดียนเบียนฟู ทางตอนเหนือของเวียดนาม
แต่สำหรับใครที่อยากทำความรู้จักกับน่านในระดับเบื้องต้น แค่เดินทางมาเที่ยวในตัวเมืองก็สุดแสนประทับใจแล้ว เพราะสิ่งที่ผู้มาเยือนทั้งหลายต้องได้สัมผัส แต่แว่บแรกเมื่อมาถึง คือ บรรยากาศอันโล่งสบายตาของบ้านเมือง เมื่อได้ลงลึกรายละเอียด ด้วยการเดินเที่ยวเลียบรั้วกำแพงเมืองเก่า เข้าไปชมวัดวาอารามหลวง ก็จะได้ซึมลึกเข้ากับบรรยากาศอันสงบงามแห่งงานศิลปะสกุลช่างน่านสารพัดแขนง ไม่ว่าจะเป็นงานประติมากรรม จิตรกรรม หรือสถาปัตยกรรมตามแบบฉบับไทยลื้อ ที่มีรากความเป็นมาสืบย้อนกลับไปถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เลยมีเดียว
ตรงแยกถนนที่เรียกกันว่าข่วงเมือง อันแวดล้อมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน วัดช้างล้อม วัดหัวข่วง และวัดภูมินทร์นั้น จัดว่าเป็นเหมือนกรุสมบัติเก่าประจำเมืองน่านเลยก็ว่าได้ ใครที่ชอบเดินละเลียดงานศิลปะ ตามวัดวาอาราม ถ้าคิดจะดูให้ทั่วทั้งข่วงเมือง รับรองว่าแค่วันเดียวไม่พอแน่นอน
ลำพังที่วัดภูมินทร์แห่งเดียว ก็เพลินไปหลายหลายชั่วโมงแล้ว โดยเฉพาะรายละเอียดในงานจิตรกรรม ฝาผนังรายรอบองค์พระประธานจตุรทิศในพระอุโบสถนั้น เป็นเสมือนฉากย้อนกาลเวลาที่ฉายภาพให้เราได้รับรู้ถึงวิถีชีวิตของชาวล้านนาในอดีต นับตั้งแต่การแต่งกาย ไปจนถึงประเพณีการละเล่นต่างๆ ด้วยสีสันสุดวิจิตร ขณะที่ทัศนียภาพโดยรวมของโครงสร้างสถาปัตยกรรม และงานศิลปะประติมากรรมด้านนอกนั้น ก็สง่างามอย่างมี เอกลักษณ์ตามแบบศิลปะล้านนาแบบเมืองน่าน
ไม่ว่าจะชมชอบการดูวัดวาอารามหรือไม่ ในช่วงแดดร่มลมตก หลังเสร็จสิ้นอาหารมื้อเย็น ควรหาโอกาส เดินย่อยอาหารในย่านข่วงเมือง เพื่อสัมผัสบรรยากาศอันงดงามของเมืองเก่าน่านภายใต้แสงสียามราตรี ที่ทางจังหวัด ได้เตรียมการปรับปรุงภูมิทัศน์เสียจนแทบไม่เห็นสายไฟฟ้า หรือสายโทรศัพท์รกสายตา
แสงไฟส่องสว่างนอกจากจะช่วยเผยความงดงามเรืองรองของตัวเมืองเก่าในอีกมิติแล้ว ยังช่วยสร้างความรู้สึกเหมือนได้เดินย้อนยุคกลับไปยังถิ่นเมืองเหนือเมื่อสัก 30-40 ปีที่แล้ว ยังไงยังงั้น
และสำหรับใครที่ก็ตามที่ขับรถขึ้นไปเที่ยวกันเอง และมีความมุ่งมั่นที่จะไปสัมผัสไอเย็น และหาจุดชมวิวทะเลหมอกสวยๆ ในหนาวนี้ มาน่านแล้วรับรองไม่มีผิดหวัง เพราะด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์อันอุดมไปด้วยสายน้ำ และขุนเขา ในช่วงฤดูหนาวของทุกปี แค่ขับรถออกไปนอกเมืองเพียงแค่ไม่ไกลนัก ก็ได้เห็นทะเลหมอกสมใจแล้ว
จุดชมทะเลหมอกยอดนิยมใกล้ตัวเมืองน่านที่ต้องแวะขึ้นรอเก็บภาพตะวันแรกแย้มกันแต่เช้ามืด คือ วัดพระธาตุเขาน้อย ซึ่งมีทำเลบนยอดเนินสูงจากน้ำทะเลราว 240 เมตร วิ่งรถย้อนกลับออกนอกตัวเมืองไปตาม ถนนขามาราว ๒ กม. แค่นั้นเอง
แต่ถ้าจะให้ได้ความประทับใจ และโรแมนติกสุดๆ ก็ต้องวิ่งรถออกออกนอกตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข ๑๐๒๖ เข้าอำเภอเวียงสา ต่อไปยังอำเภอนาน้อย เพื่อขึ้นไปชมจุดชมทะเลหมอกบน ดอยเสมอดาว ในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน
ลองจินตนาการเล่นๆ ตามชื่อเรียกสถานที่แล้ว คงไม่ต้องบรรยายต่อว่า ท้องฟ้าในคืนเดือนมืดบนยอดดอยแห่งนี้นั้นจะงดงามระยิบระยับสักเพียงใด และถ้าไม่นอนดูดาวจนดึกดื่นเกินไปนัก ก็รับรองว่าจะต้องตราตรึงกับภาพดวงอาทิตย์แรกแย้ม ณ จุดชมวิวที่เลื่องลือกันว่า สวยที่สุดในจังหวัดน่านแห่งนี้
ในยามที่ลำแสงสีทองเริ่มแผดจ้า ม่านหมอกเริ่มจางหาย เราจะได้เห็นขุนน้ำน่านไหลคดเคี้ยวอยู่กลาง ผืนป่า ณ เบื้องล่าง ราวกับนาฎกรรมแห่งธรรมชาติ ที่ค่อยๆ เผยขึ้นทีละฉาก
นับเป็นอีกภาพความทรงจำอันงดงามที่ช่วยสร้างชื่อทางการท่องเที่ยวให้กับเมืองน่าน จนมีผู้เข้ามาเยือนมากถึง 700,000 คน ในรอบปีที่ผ่านมา ซึ่งสร้างรายได้อย่างงดงามให้กับจังหวัดมากถึง 1,700 ล้านบาท!