“COOLLiving” สร้างธุรกิจจากธรรมชาติ
การมีโอกาสได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆทั่วโลกจากหน้าที่การงานด้วยการแอร์โฮสเตส ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับ“สาริศา ปิ่นทอง” เพราะได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการประกายไอเดียในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ออกมาเพื่อนำสู่ผู้บริโภคในตลาด
“COOLLiving” (คูลลิฟวิ่ง) คือแบรนด์ที่ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อ “Startup” ธุรกิจให้กับตัวเธอ โดยจากวันนั้นจนถึงวันนี้แบรนด์ดังกล่าวได้ต่อยอดผลิตภัณฑ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันแบรนด์มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นทางเลือกในตลาดมากมายให้ผู้บริโภคได้ใช้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล
เริ่มต้นธุรกิจ
สาริศา ในฐานะกรรมการฝ่ายบริหารทั่วไป บริษัท คนดี กรุ๊ป จำกัด บอกว่า COOLLiving เป็นแบรนด์ที่มุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า “หมอนร้อยปี” ซึ่งทำมาจากวัสดุเปลือกโซบะธรรมชาติ โดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีในการผลิต รวมถึงการทำความสะอาดที่ใช้เทคนิคธรรมชาติจากญี่ปุ่น พร้อมสมุนไพรไทยและไม้หอมนานาชนิด และถุงหมอนจากฝ้ายออกานิค 100% ซึ่งมีที่มาที่ไปจากการที่ตัวเธอมีโอกาสเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ได้พบกับหมอนที่นอนแล้วไม่ปวดคอ และไปพบหมอนรูปแบบดังกล่าวนี้อีกครั้งที่สหรัฐอเมริกา โดยมีวางจำหน่ายอยู่บนช่องทางออนไลน์
หลังจากนั้นตัวเธอจึงเริ่มสนใจและสงสัยว่าหมอนดังกล่าวทำมาจากอะไร โดยนำไปสู่การสืบค้นข้อมูลจนพบว่าเป็นหมอนจากวัสดุธรรมชาติที่คนญี่ปุ่นใช้มาเป็นเวลา 100 ปี ซึ่งมีสรรพคุณในการให้ความเย็นกับศีรษะทำให้นอนหลับสบาย เหมาะกับช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน โดยคิดว่าน่าจะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย
อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ตัวเธอจบการศึกษาทางด้านการตลาดมา และต้องการที่จะลดต้นทุน ดังนั้น ตัวเธอจึงเลือกที่จะทำตลาดด้วยตนเองด้วยการสร้างแบรนด์ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่าหมอนร้อยปีภายใต้แบรนด์ “COOLLiving” หลังจากนั้นจึงทยอยมีผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นตามมา ไม่ว่าจะเป็นที่นอนซึ่งทำจากใยฝ้าย ซึ่งห่อหุ้มด้วยการใช้ผ้าทอมือ และการย้อมสีแบบธรรมชาติ ,สเปรย์สมุนไพรกำจัดไรฝุ่น และเครื่องสำอางทั้ง ครีมกันแดด ,เจลอาบน้ำ แชมพูสระผม เป็นต้น เรียกว่าครบวงจรตั้งแต่ห้องนอนจนถึงห้องอาบน้ำ และห้องแต่งตัว
ขยายช่องทางจำหน่าย
สาริศา บอกต่อไปอีกว่า ช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นั้น จะผ่านทางคูลลิฟวิ่งชอปกว่า 10 สาขา ,ตัวแทนจำหน่าย ,บัตรเครดิต ,และช่องทางออนไลน์ ส่วนกลยุทธ์ในการทำตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้า และเพิ่มรายได้ในระยะถัดไป แบรนด์จะหันมามุ่งเน้นการทำตลาดผ่านออนไลน์มากขึ้นผ่านทางเฟซบุ๊ก รวมถึงมีการซื้อโฆษณาบนช่องทางดังกล่าว
อีกทั้งยังจะดำเนินการหาพันธมิตรทางธุรกิจ เช่นร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอย่าง เลมอนฟาร์ม (Lemon Farm) และผ่านทางเคทีซียูชอป (KTC Ushop) เพื่อให้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านทางบัตรเครดิต โดยมองว่าเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน ซึ่งลูกค้าที่มีบัตรเครดิตจะค่อนข้างเป็นผู้ที่มีอำนาจการใช้เงินในระดับหนึ่ง ทำให้ค่อนข้างตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม แบรนด์ยังมีการต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่การนำเสนอลิปติกที่ทำจากธรรมชาติ โดยจะเป็นสีที่ทำมาจากสมุนไพร ซึ่งแบรนด์มองว่าลิปติกเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้ใช้จะต้องรับประทานเข้าไปทุกวันเวลาใช้งาน หากมีผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากธรรมชาติน่าจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยมากกว่า
นอกจากนี้ แบรนด์ยังต่อยอดไปสู่การสร้างฟาร์มปลูกผักออแกนิค พร้อมที่พักแบบโฮมสเตย์ ที่เน้นความเป็นธรรมชาติ โดยมีผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ไว้ให้ผู้เข้าพักได้ใช้ ภายใต้ชื่อ คูลลิฟวิ่งฟาร์มเฮ้า (Coolliving Farmhouse)
ขณะที่ตลาดต่างประเทศนั้น แบรนด์มองการขยายตลาดไปยังประเทศญี่ปุ่น และประเทศในแถบทวีปยุโรปเพิ่มเติม จากเดิมที่มีการทำตลาดอยู่แล้วที่สิงคโปร์ ,มาเลเซีย ,ฮ่องกง ,ไอซ์แลนด์ และสหรัฐฯ ในรูปแบบของการมีตัวแทนจำหน่าย และการรับจ้างผลิต (OEM)
ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
สาริศา บอกต่อว่า แบรนด์ทำธุรกิจโดยยึดหลักของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งรู้ว่ารายได้ของแต่ละปีจะเป็นอย่างไร และที่ผ่านมาก็ไม่ได้เติบโตขึ้น โดยขณะนี้แบรนด์อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกของโซเชียล เป็นช่วงของการปรับตัว ซึ่งเมื่อมองไปยังปัจจัยต่างๆแล้ว หากปี 63 ยอดขายไม่ตกลงก็ถือว่าดีในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจากการที่แบรนด์นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงเพิ่มช่องทางการทำตลาด และการทำฟาร์มก็น่าจะทำให้รายได้เติบโตขึ้น โดยมองว่าจะเป็นการวางรากฐานทางธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
แบรนด์ยังมีแนวคิดที่จะต่อยอดผลิตภัณฑ์จากผักที่ปลูกจากฟาร์ม โดยอาจจะนำโครงการไปนำเสนอเพื่อขอทุนวิจัยและพัฒนา (R&D) จากองค์กรของภาครัฐที่ให้การสนับสนุน ซึ่งมีอยู่มากมายแต่เอสเอ็มอีส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ โดยถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญของธุรกิจที่เอสเอ็มอีจะต้องขวนขวาย เพื่อหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง
“การที่แบรนด์ COOLLiving ซึ่งปัจจุบันยังคงสามารถยืนหยัดอยู่บนเส้นทางสายธุรกิจได้อย่างภาคภูมินั้น มาจากวิสัยทัศน์ และกรอบในการสร้างธุรกิจที่ชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้สามารถสื่อสารถึงผู้บริโภคในตลาดได้ จนนำมาสู่ความสำเร็จ โดยคอนเซปป์ธุรกิจของแบรนด์อาจจะไม่เหมือนใคร ที่มักจะรีบโตและกำหนดเป้าว่าแต่ละปีจะต้องได้เท่าไหร่ เราเพียงแค่รู้สึกว่ายังสามารถเลี้ยงพนักงานได้ มีลูกค้าที่ประทับใจผลิตภัณฑ์ ซึ่งทำให้เราต้องการทำผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้นก็เพียงพอ”