“NOS” ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของสุนัขและแมว
จุดเริ่มต้นธุรกิจมีได้หลากหลาย แต่ประเด็นที่สำคัญที่มักจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดีที่สุดก็คือการเลือกหยิบนำปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตมาปรับประยุกต์ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวหรือช่วยทำให้การใช้ชีวิตของผู้บริโภคสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
แบรนด์ “NOS” คือหนึ่งแบรนด์ธุรกิจที่ Start up ขึ้นมาจากการนำประสบการณ์ที่ได้พบเจอจากการทำงานในชีวิตจริงของ “อัจฉราณี ธรรมวินทร” สัตวแพทย์สาวสวยที่คลุกคลีกับการรักษาสัตว์ จนต้องการที่จะหาวิธีช่วยทำให้ผู้ที่เลี้ยงสัตว์สามารถดูแลสัตว์เลี้ยงของตนเองได้ดีมากขึ้น
จากประสบการณ์สู่ผลิตภัณฑ์
อัจฉราณี ในฐานะเจ้าของธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ขนมสุนัข และแมว แบรนด์ “NOS” บอกถึงที่มาที่ไปของไอเดียในการทำธุรกิจ ว่า มีจุดเริ่มต้นมาจาการที่ตนเรียนจบปริญญาตรีทางด้านสัตว์แพทย์ และเรียนจบปริญญาโททางด้านธุรกิจ โดยจากการที่ได้เห็นปัญหาของผู้เลี้ยงสัตว์ที่นำสัตว์มารักษา ตนจึงคิดว่าน่าจะมีหนทางที่จะช่วยเจ้าของสัตว์เลี้ยง ช่วยลดปัญหาในส่วนดังกล่าวนี้ได้ และนั่นเองจึงเป็นที่มาของการสร้างสรรค์ผลิตภัรฑ์ขนมสุนัข และขนมแมวในที่สุด
ทั้งนี้ หลังจากที่ได้ทำงานเป็นสัตว์แพทย์มาได้ 7-8 ปี ทำให้ตนได้พบเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเจ้าของสัตว์เลี้ยงและสัตว์เลี้ยง ประกอบกับที่ตนเริ่มมองหาแนวทางในการสร้างธุรกิจที่เป็นของตนเอง โดยโจทย์ที่สำคัญในลำดับต่อมาก็คือจะทำผลิตภัณฑ์ขนมสุนัข และแมวอย่างไรให้ความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายในตลาด และด้วยความที่ตนเป็นสัตว์แพทย์จึงทำให้รู้ว่าสารอาหารแบบไหน หรือปริมาณเท่าไหร่ถึงจะมีความเหมาะสม เพื่อตอบโจทย์ของปัญหาที่พบเจอมา
“NOS เป็นขนมที่ช่วยลดปัญหาทางด้านสุขภาพให้กับสัตว์เลี้ยง โดยจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของเจ้าของสัตว์เลี้ยง ซึ่งง่ายต่อการใช้งาน และช่วยเพิ่มเวลาความสุข และสนุกให้กับเจ้าของและสัตว์เลี้ยง”
ปัญหาของสัตว์เลี้ยงแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น แมวจะมีปัญหาเรื่องของภูมิคุ้มกันหวัดแมว เพราะฉะนั้นขนมแมวที่ทำออกมาจึงมีส่วนผสมของสารอาหารที่สร้างภูมิคุ้มกันในเรื่องดังกล่าวได้ ขณะที่สุนัขพันธุ์ใหญ่จะมีปัญหาเรื่องข้อ และสะโพก ผลิตภัณฑ์จึงต้องมีส่วนผสมของสารอาหารในปริมาณที่สุนัขพันธุ์ใหญ่ต้องการ ส่วนสุนัขพันธุ์เล็กผลิตภัณฑ์ของแบรนด์จะช่วยลดปัญหาเรื่องของคราบหินปูน
สำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ NOS ประกอบด้วย 1.Chewing gum ซึ่งเป็นขนมที่มีส่วนประกอบที่ช่วยลดคราบจุลินทรีย์ และเคลือบฟันซึ่งเหมาะสำหรับสุนัขพันธุ์เล็กที่มีน้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม ,2.Licking Health โดยจะเป็นขนมที่มีส่วนประกอบที่ช่วยเพิ่มความสามารถของแมวในการต่อต้านการติดเชื้อไวรัสหวัด (herpes virus) และยังมีส่วนประกอบที่ช่วยเสริมความสมดุลของประชากรแบคทีเรียในลำใส้ของแมว และ 3.Funning Joint ซึ่งเป็นขนมที่มีส่วนประกอบที่ช่วยบำรุงข้อ เหมาะกับสุนัขใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน 20 กิโลกรัมขึ้นไป
ขยายตลาดออกต่างประเทศ
อัจฉราณี บอกต่อไปอีกว่า แบรนด์ NOS เริ่มต้นทำตลาดในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 61 ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคในตลาด โดยช่องทางการทำตลาดของแบรนด์จะอยู่ที่โรงพยาบาลสัตว์ที่ตนเองทำงานประจำอยู่ และร้านจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Shop) ระดับไฮเอนด์ ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของแบรนด์จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ระดับกลางไปจนถึงระดับสูง
ส่วนกลยุทธ์ในการทำตลาดของแบรนด์ในระยะต่อไปนั้น จะดำเนินการต่อยอดผลิตภัณฑ์ และขยายตลาดเพื่อสร้างรายได้ ซึ่งในส่วนของขนมแมวนั้น บริษัทจะมีการขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศ โดยมองไว้ที่ประเทศไต้หวันซึ่งบริษัทได้โอกาสให้ไปออกงานแสดงสินค้าในช่วงปลายปี
“ก่อนที่จะมาขยายตลาด แบรนด์ได้มีการศึกษาหาข้อมูลอย่างรอบครอบประกอบการพิจารณา โดยพบว่าที่ไต้หวันประชาชนนิยมเลี้ยงแมวกันเป็นจำนวมาก และมีแนวโน้มของการเติบโตในระดับที่สูง อีกทั้งวงจรชีวิตของแมวก็มีอัตราการเกิดที่รวดเร็วกว่าสุนัขด้วย บริษัทจึงเลือกที่จะนำขนมแมวเข้าไปทำตลาด เพราะมองเห็นโอกาส”
ด้านขนมสุนัขพันธุ์เล็กที่นำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม บริษัทจะมีการขยายตลาดไปไต้หวันด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นสัตว์เลี้ยงอีกประเภทหนึ่งที่กำลังเติบโต แม้ว่าจะไม่ได้เติบโตเร็วมากอย่างแมว แต่ก็ต้องถือว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยจุดเด่นที่จะสามารถช่วยทำให้แบรนด์เข้าไปเจาะตลาดได้ จะมาจากการให้ความรู้ทางวิชาการที่น่าเชื่อถือกับผู้ซื้อว่าขนมแมวมีความสำคัญอย่างไร สามารถช่วยต่อต้านการติดเชื้อไวรัสหวัดได้อย่างไร ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญจากการเป็นสัตว์แพทย์โดยตรง
เพิ่มการทำตลาดในประเทศ
อย่างไรก็ตามในส่วนของขนมสุนัขพันธุ์เล็กนั้น บริษัทยังกำลังอยู่ในขั้นตอนของการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้สุนัขพันธุ์ดังกล่าวสามารถรับประทานได้ง่ายมากขึ้น หลังจากนั้นก็จะขยายตลาดภายในประเทศให้ครอบคุลมมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถทำตลาดได้ภายในปีนี้ เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์สำหรับสุนัขพันธุ์ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 20 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งบริษัทกำลัง R&D เพื่อเพิ่มลูกเล่นของขนมให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นพร้อมกับสารอาหาร โดยคำนึงถึงไลฟ์สไตล์ของสุนัขเป็นสำคัญ
อัจฉราณี บอกอีกว่า จากกลยุทธ์ในการทำตลาดดังกล่าวเชื่อว่าจะทำรายได้ของแบรนด์ปีนี้เติบโตขึ้นเกินหลักล้านบาท แม้ว่าแบรนด์จะเพิ่งเริ่มทำตลาดก็ตาม หลังจากนั้นก็จะเติบโตเพิ่มมากขึ้นตามแผนการทำตลาดที่วางไว้อย่างเป็นขั้นตอนในระยะต่อไป โดยจุดเด่นที่สำคัญของแบรนด์อยู่ที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ และประสบการณ์ทางด้านการรักษาจากสถานการณ์จริง ทำให้มีความเข้าในพฤติกรรมตามธรรมชาติของสุนัขและแมว
“ความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านสัตว์แพทย์ทำให้แบรนด์รู้ว่าจะต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างไร หรือใส่สารอาหารปริมาณเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอให้ตอบโจทย์ความต้องการของปัญหาในสุนัข และแมวได้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น สุนัขพันธุ์ใหญ่จะมีปัญหาเรื่องข้อ และสะโพก ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์จึงเพิ่มสารอาหารที่มีสรรพคุณเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ เป็นต้น”
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ ธพว. (SME D Bank) มีส่วนช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจของแบรนด์เติบโตได้มากขึ้น จากเดิมที่ต้องยอมรับว่าตนเองไม่มีความมั่นใจเลยในการทำธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของเงินทุนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ และต่อยอดธุรกิจ นอกจากนี้ยังช่วยสร้างองค์ความรู้ในการทำธุรกิจให้กับแบรนด์ด้วย
“ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์จะช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นกับสัตว์เลี้ยง เพราะเจ้าของจะมีส่วนช่วยในการดูแลสัตว์เลี้ยงของตัวเอง โดยคนไข้ที่เป็นสัตว์เลี้ยงของหมออาจจะลดลง แต่ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งตนก็จะมีเวลาไปศึกษาทงด้านวิชาการมากขึ้น”
เบอร์ติดต่อ : 087-4919414 อัจฉราณี ธรรมวินทร.