ศาลไม่อนุมัติหมายจับทายาทซัมซุง
โซล (รอยเตอร์) – เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ศาลเกาหลีใต้ไม่อนุมัติคำร้องขอหมายจับนายอีแจยง ทายาทซัมซุงกรุ๊ป หลังจากอัยการกล่าวหาเขาว่าทุจริตทางการเงินและปั่นหุ้น
คำสั่งศาลครั้งนี้คงทำให้รองประธานซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์รู้สึกผ่อนคลายได้ชั่วคราว แต่เขาอาจเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้นจากคดีนี้ในช่วงเวลาที่บริษัทได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19
หลังศาลไม่อนุมัติหมายจับเขา ทำให้ในการซื้อขายในตลาดหุ้นวันที่ 9 มิ.ย. หุ้นของบ.ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ปรับเพิ่มขึ้น 2% บ.ซัมซุง ไบโอโลจิกส์พุ่งขึ้น 2.4% ซัมซุง C&T ปรับขึ้น 2.2%
ศาลแขวงกลางในกรุงโซลแถลงว่า “ ดูเหมือนอัยการมีหลักฐานมากพอจากการสืบสวน แต่ยังขาดหลักฐานที่จะควบคุมตัวนายอี ”
อัยการรู้สึกเสียดายกับคำตัดสิน แต่ระบุว่าจะดำเนินการสืบสวนต่อไป โดยอาจยื่นขอหมายจับจากศาลอีกครั้งหลังการสืบสวน หรืออาจนำตัวนายอีไปขึ้นให้การโดยไม่จับกุม
โดยเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. นายอีปรากฎตัวที่ศาลเกาหลีใต้เพื่อให้การในคดีที่อัยการสั่งฟ้องเขาในข้อหาใหม่ทั้งทุจริตทางการเงินและปั่นหุ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เขาต้องรับโทษจำคุกอีกครั้งหลังได้รับอิสรภาพนานกว่าสองปี
ก่อนหน้านั้นในวันที่ 4 มิ.ย. อัยการขอหมายจับจากศาลเพื่อเข้าจับกุมนายอี ในข้อหาการควบรวมบริษัทในเครือของซัมซุงเมื่อปี 2558 มูลค่า 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยอัยการระบุว่า การควบรวมกิจการในครั้งนั้น เป็นการเอื้อประโยชน์กับแผนการของนายอีที่จะกุมอำนาจในการบริหารกลุ่มบริษัทไว้ได้อย่างเด็ดขาด
ความเสี่ยงที่อาจจะต้องรับโทษจำคุกอีกสำหรับนายอี ซึ่งขึ้นเป็นผู้นำของบริษัทตั้งแต่บิดาของเขามีอาการหัวใจวายในปี 2557 อาจส่งผลสะเทือนกลุ่มบริษัทซัมซุง รวมถึงบริษัทที่เป็นเหมือนเพชรยอดมงกุฎคือ บริษัทซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีรายได้ต่อปีเท่ากับ 12% ของจีดีพีประเทศเกาหลีใต้
นายอี วัย 51 ปี ซึ่งสวมหน้ากากอนามัยและชุดสูทสีเข้ม ปรากฎตัวที่ศาลกรุงโซลเพื่อฟังการไต่สวนที่เริ่มตั้งแต่ 10.30 น. โดยเขาไม่ได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวก่อนที่จะเข้าไปในศาล หลังการไต่สวน คาดการณ์ว่าเขาจะถูก
นำตัวไปฝากขังที่ทัณฑสถานเพื่อรอคำตัดสินของผู้พิพากษาที่คาดว่าจะเป็นวันที่ 8 มิ.ย. หรือเช้าวันที่ 9 มิ.ย.
อัยการกล่าวหาเขาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมผิดกฎหมายและการปั่นหุ้นที่ส่งผลให้มีการควบรวมกิจการของซัมซุง C&T และ Chiel Industries เมื่อปี 2558 โดยอัยการยังระบุว่า เขามีบทบาทในการปั่นให้มูลค่าของซัมซุง ไบโอโลจิกส์สูงเกินจริง ซึ่งทำให้ Chiel Industries กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
การควบรวมสองบริษัทในเครือเป็นปัจจัยสำคัญให้เขามีอำนาจในการบริหารมากขึ้น แต่ถูกวิจารณ์อย่างหนักเนื่องจากเป็นการปฏิบัติที่เลวร้าย ไม่สนใจนักลงทุนรายย่อย
เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ซัมซุงปฏิเสธข้อกล่าวหาการปั่นหุ้นของเขา โดยชี้แจงว่า เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลในการกล่าวหาว่าเขามีส่วนในการตัดสินใจเช่นนั้น
แถลงการณ์ของบริษัทในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า การสืบสวนสอบสวนที่ยาวนานส่งผลกระทบกับการบริหารจัดการบริษัท ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตจากโรคระบาดไวรัสโคโรนา และความขัดแย้งทางการค้าสหรัฐฯ-จีน
“ หากเขาถูกจับกุม จะส่งผลทำลายชื่อเสียงของเขาและซัมซุง จะมีคำถามมากขึ้นเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายของการเป็นซีอีโอ และผู้สืบทอดตำแหน่งประธานของบริษัท” ชางซีจิน อาจารย์ประจำ Korea Advanced Institute of Science & Technology
ที่ผ่านมา เขาเคยติดคุกประมาณ 1 ปีจนถึงเดือนก.พ. 2561 ในข้อหาติดสินบน โดยเขาถูกกล่าวหาว่ามอบม้าหลายตัวเป็นของขวัญให้กับบุตรสาวของเพื่อนสนิทอดีตประธานาธิบดีพัคกึนฮเย เพื่อให้รัฐบาลสนับสนุนให้การควบรวมสองบริษัทเข้าด้วยกันเป็นไปอย่างสะดวก
ศาลฎีกาของเกาหลีใต้มีคำพิพากษาแย้งกับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์โดยให้ระงับโทษจำคุกของเขา ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีคำตัดสินจากการไตสวนใหม่ให้เขารับโทษจำคุกเพิ่มจากข้อหาเดิมหรือไม่
ในเกาหลีใต้ อำนาจทางเศรษฐกิจกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ โดยส่วนใหญ่ของบริษัทเหล่านี้มีปัญหาความขัดแย้งในประเด็นการสืบทอดตำแหน่งผู้บริหารที่เป็นระบบครอบครัว ที่บริษัทซัมซุงเอง ก่อนหน้าที่บิดาของเขาจะมีอาการหัวใจวาย นายอีมีหุ้นไม่มากนักในบริษัทในเครือ จึงมีความเป็นไปได้ที่เขาอาจเสียอำนาจในการควบคุมบริหารไปให้ผู้ถือหุ้นคนอื่นหากเขาต้องโทษจำคุกอีกครั้ง