“คลัง”ถอยสุดซอยภาษีที่ดิน
ภาษีที่ดินปลูกสร้าง ลุ้นเข้าสู่การพิจารณา สนช.เดือนมี.ค.นี้ “วิสุทธิ์” มั่นใจภาษีที่ดินใช้ทันปี62 ยันการบรรเทาเพื่อลดภาระประชาชน เอกชนค้านหวั่นภาษีใหม่ทำให้ภาระต้นทุนพุ่ง
“กระทรวงการคลังมีความมั่นใจว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะมีผลบังคับใช้ในปี2562 อย่างแน่นอน” นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดในงานสัมมนาหอการค้าไทย ในหัวข้อ “รวมประเด็นสำคัญร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างล่าสุด” เมื่อวันที่ 12 ก.พ.2561 พร้อมระบุว่า
ขณะนี้ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กำลังอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นของทุกส่วน ก่อนรวบรวมและบรรจุในร่างกฎหมายเพื่อเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาในวาระ 2 วาระ 3 ภายในเดือนมี.ค. สำหรับกระบวน การหลังจากนี้ ฝ่ายบริหารจะรวบรวมข้อเสนอแนะต่างๆ ก่อนเสนอให้ สนช. พิจารณาต่อไป โดยในหลักการเมื่อกฎหมายผ่านขั้นตอนของ สนช.แล้ว ต้องมีการจัดทำกฎหมายลูกโดยใช้ระยะเวลาไม่เกิน 120 วัน หลังกฎหมายหลักมีผลบังคับใช้ ซึ่งเบื้องต้นคาดไม่ได้มีการตั้งเป้าหมายในการจัดเก็บรายได้ที่ชัดเจน เพียงแต่เป็นการดำเนิน การเพื่อให้กฎหมายมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน หลังกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีการบังคับใช้มานาน
“เนื่องจากเป็นกฎหมายที่จะมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก จึงได้มีการรับฟังความคิดเห็นมาทั่วประเทศไปแล้ว ถือว่าระยะเวลาที่ผ่านมา เกือบปีในชั้นกรรมาธิการได้มีการนำเอาข้อคิดเห็นต่าง ๆ มาปรับปรุง เพื่อให้ประชาชนมีความสามารถในการชำระภาษี และมีความเต็มใจในการชำระภาษีด้วย”
นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า หลักการของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ จะไม่ทำให้ผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร และผู้ประกอบการ ขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี มีภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการปรับลดเพดานภาษีลงมาแล้ว 40% รวมทั้งให้มีการยกเว้นการเก็บภาษีสำหรับบ้านหลังแรกที่ราคาไม่เกิน 20 ล้านบาท ส่วนที่เกินกว่า 20 ล้านบาท มีภาระภาษี ในอัตรา 1 ล้านบาท เสียภาษี 100 บาท (ล้านละ 100 บาท) ส่วนบ้านหลังจากที่ 2 หรือหลังต่อๆ ไปมีภาระภาษี ล้านละ 200 บาท และภาคเกษตรกรจะเว้นภาษีให้สำหรับที่ดินมูล ค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท ส่วนที่ดินมูลค่าตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป มีภาระภาษี ล้านละ 100 บาท
“เบื้องต้นคาดว่า กฎหมายดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 ล้านบาท แต่ตามแผนของกฎหมายจะมีทั้งการบรรเทาและแบ่งเบาภาระภาษีให้กับประชาชนในช่วง 3 ปีแรก เพื่อให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมีภาระภาษีเพิ่มขึ้นไม่เกิน 25% ต่อปี ทำให้รัฐบาลจะมีรายได้เพียงปีละ 2,500 ล้านบาท”
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมจะมีอัตราเพดานที่ 0.15% จากเดิม 0.2% โดยหากเป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับยกเว้นจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กรณีมีที่ดินไม่เกิน 50 ล้านบาท ส่วนบ้านพักอาศัยจะมีอัตราเพดานที่ 0.3% จากเดิม 0.5% โดยหากเป็นเจ้าของบ้านและที่ดิน มีชื่อในทะเบียนบ้าน จะได้รับยกเว้น 20 ล้านบาท และหากเป็นเจ้าของบ้านและมีชื่อในทะเบียนบ้าน (เช่าที่ดิน) จะได้รับยกเว้น 10 ล้านบาท
ส่วนที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม และอื่นๆ มีอัตราเพดานที่ 1.2% ลดลงจากเดิม 2% แต่หากเป็นที่รกร้างว่างเปล่า อัตราเพดานจะจัดเก็บเหมือนประเภทอื่น ๆ และเพิ่มอัตราภาษี 0.3% ทุก 3 ปี แต่อัตราภาษีรวมไม่เกิน 3%
ทั้งนี้ เกษตรกรตัวจริงและประชาชนทั่วไปไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะได้รับภาระเพิ่มขึ้นเนื่องจากประชาชนที่มีที่อยู่อาศัยหลังหลักจะได้รับยกเว้นตามกำหนด และมีการบรรเทาภาระภาษีให้กับที่อยู่อาศัยที่ได้รับมาทางมรดกก่อนที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ส่วนเกษตรกรยังมีที่ดินส่วนที่ขึ้นทะเบียนทำการเกษตร จะเสียภาษีในอัตราเกษตรกรรม อีกทั้งที่ดินเกษตรกรรมที่เจ้าของเป็นบุคคลธรรมดา จะได้รับยกเว้นรวมกันไม่เกิน 50 ล้านบาทในพื้นที่ 1 อปท.
ขณะที่นายอธิป พีชานท์ กรรมการบริหารสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานกรรมการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ยังมีความกังวลในหลายประเด็น อาทิ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อาจมีภาระสูงขึ้นจากกฎหมายที่ดินฉบับใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ยังมีการภาระจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะลดการใช้ดุลพินิจและการตีความให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น
และอีกประเด็นหนึ่งคือ ระบบการจัดเก็บภาษียังมีความซับซ้อน เนื่องจากมีอัตราเริ่มต้นและอัตราเพดานสูงสุด รวมถึงการประเมินการใช้ประโยชน์ ซึ่งอาจมีการเลี่ยงการถือครองที่ดินรกร้างว่างเปล่าโดยการทำเกษตรโดยไม่ตั้งใจซึ่งอาจกระทบต่อทรัพยากรน้ำที่ยังประสบปัญหาภัยแล้ง นอกจากนี้ยังอาจกระทบต่อการแย่งการขายกับเกษตรกรตัวจริง อีกทั้งการเสียภาษีบ้านหลังที่ 2 ที่สามารถมีการลดหย่อนได้ อาจกระทบต่อธุรกิจบ้านพักตากอากาศ และยังมีอีกหลาย ๆ ประเด็นที่ยังคลายกังวลไม่ได้
นายอธิป ยังมองว่า ประชาชนทั่วไปยังขาดความรู้ความเข้าใจ โดยทางกระทรวงการคลังควรจะทำการประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้ เพื่อลดปัญหาหลังกฎหมายประกาศใช้และควรจะจัดเก็บเป็นภาษีในอัตราเดียว (flat rate) เนื่องจากการเก็บภาษีแบบขั้นบันได หรือมีการลดหย่อนได้ จะทำให้เกิดการตีความด้วย
อีกทั้งยังมีการบรรเทาภาระภาษีตามมาตรา 51 กรณีที่มีภาระภาษีมากกว่าเดิม โดยจะลดภาษีสำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างบางประเภท เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม เหตุการณ์ กิจการ หรือสภาพแห่งท้องที่ไม่เกิน 90% อาทิ บ้านอยู่อาศัยหลังหลัก ทรัพย์สินสถานศึกษาเอกชน ที่ดินที่กฎหมายห้ามทำประโยชน์บางอย่าง ที่ดินที่เป็นสถานกีฬา ที่จอดรถสาธารณะ ทรัพย์สินที่เป็นทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) ของสถาบันการเงิน และทรัพย์สินที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม.