ติวเข้ม startup ดึงอินชัวร์เทคต่อยอดประกัน
ศูนย์อินชัวร์เทค คปภ. ติวเข้ม startup เจาะลึกเรื่องประกันรถยนต์ หวังนำไปต่อยอดพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยโดยคนไทยเพื่อคนไทย
การจัดอบรมหลักสูตร Panorama Motor Insurance for Startup หรือการอบรมความรู้ด้านการประกันภัยพื้นฐานสำหรับ Startup ที่ Center of InsurTech, Thailand (CIT) จัดขึ้น ณ สถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เมื่อกลางสัปดาห์ก่อนนั้น มุ่งเน้นไปที่การประกันภัยรถยนต์
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่ม Startup กลุ่มนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) และกลุ่มนักพัฒนาเทคโนโลยี (Developer) ได้รับความรู้ความเข้าใจเรื่องการประกันภัยรถยนต์ เพื่อให้สามารถนำความรู้ไปสร้าง “ไอเดีย” หรือ “นวัตกรรม” ใหม่ๆ ด้านเทคโนโลยีการประกันภัยรถยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงนำเทคโนโลยีมาพัฒนาและต่อยอดอุตสาหกรรมการประกันภัย เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมประกันภัยอีกด้วย
โดยมีวิทยากรที่มีความรู้ ความสามารถในธุรกิจประกันวินาศภัย ทั้งจาก สำนักงาน คปภ. ภาคธุรกิจประกันภัย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาบรรยายในหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ บทบาท สำนักงาน คปภ. ในธุรกิจประกันภัย ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยรถยนต์ ความรู้และแนวปฏิบัติเรื่องการประกันภัยรถยนต์ การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนและค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ พัฒนาการด้านเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมรถยนต์ การปรับตัวของธุรกิจประกันภัยรถยนต์ในยุคดิจิทัล รวมถึงการเสวนาเรื่อง “แนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีกับธุรกิจประกันวินาศภัย
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ.) กล่าวเปิดงานผ่านปาฐกถาพิเศษ หัวข้อง “OIC Overview : บทบาท สำนักงาน คปภ. ในธุรกิจประกันภัย” โดยเน้นถึงความท้าทายของการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยในยุคดิจิทัลที่สำคัญ ตอนหนึ่งว่า “การเข้ามาของกระแส Technology Disruption ที่สร้างความตื่นตัวให้กับภาคการกำกับดูแล รวมไปถึงภาคธุรกิจที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่นำมาซึ่งโอกาสและความท้าทายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้การเปลี่ยนแปลงจะนำมาซึ่งโอกาสในการประกอบธุรกิจและการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อรองรับกับความต้องการของผู้บริโภค แต่เมื่อมีการใช้บริการและการเติบโตของธุรกรรมที่มากขึ้น ก็ย่อมที่จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายหรือการละเมิดต่อผู้บริโภคตามมา”
พร้อมสำทับอีกว่า “สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่หน่วยงานกำกับดูแลต้องคำนึงถึงในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย คือ การสร้างความสมดุลระหว่างการกำกับดูแลและส่งเสริมพัฒนาการในการประกอบธุรกิจประกันภัย โดยต้องคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภคด้วย ซึ่งบทบาทของ สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย มุ่งไปสู่เป้าหมายสำคัญ คือ “การรักษาสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนและการส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมดิจิทัลในอุตสาหกรรมประกันภัย”
เลขาธิการ คปภ. ย้ำว่า แม้ว่าอุตสาหกรรมประกันภัยซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม กาลเวลาและยุคสมัยที่เปลี่ยนไปจะทำให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น และเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “เทคโนโลยีประกันภัย” เป็นเทคโนโลยีที่จะทำให้คนไทยในยุคนี้เข้าถึงการซื้อประกันมากขึ้น รวมไปถึงการมองอุตสาหกรรมประกันภัยในมุมมองที่ต่างจากที่เคยเป็น จากเดิมที่มองว่าการประกันภัยเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ไกลตัว หรือแม้กระทั่งความยุ่งยากในการจ่ายเบี้ยประกันภัย รวมไปถึงการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสมกับตนเองโดยอาศัยเทคโนโลยีประกันภัยเข้ามาช่วยดำเนินการ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ วงการประกันภัยทั่วโลกได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมประกันภัยอย่างแพร่หลายมากขึ้น เพื่อให้เกิดความสะดวกขึ้น รวดเร็วขึ้น ง่ายขึ้น และที่สำคัญคือเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น
ทั้งนี้ จะเห็นได้จากเช่นตัวอย่างการพัฒนาเทคโนโลยีให้กับธุรกิจประกันภัยที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ เช่น บริษัทประกันภัยในประเทศสิงคโปร์ที่ขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านออนไลน์เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้ออย่างสะดวก และยังสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านบุคคลากรและคนกลางประกันภัย ส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันภัยถูกลง ซึ่งผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสเข้าถึงระบบประกันภัยได้มากขึ้นอีกด้วย หรือ การประกันภัยเที่ยวบินล่าช้า ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เที่ยวบินล่าช้าตามจำนวนที่กำหนดไว้ จะมีระบบเคลมเกิดขึ้นและโอนเงินค่าสินไหมทดแทนเข้าบัญชีผู้เอาประกันภัยโดยอัตโนมัติซึ่งสะดวกและรวดเร็วมาก และแม้วันนี้ InsurTech ในประเทศไทยยังไม่มากเท่ากับต่างประเทศ แต่สำนักงาน คปภ. เชื่อว่า Startup และบริษัทประกันภัยไทยกำลังหันมาให้ความสำคัญกับ InsurTech มากขึ้นตามกระแสโลก
“สำนักงาน คปภ. หวังจะนำพาภาคอุตสาหกรรมประกันภัยก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ ไปสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัลด้วยบทบาทการเป็นผู้สนับสนุน ส่งเสริม รวมทั้งให้ความคุ้มครองต่อผู้บริโภค และเชื่อว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในภาคการประกันภัยนั้น จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน ซึ่งธุรกิจประกันภัยจะต้องเติบโตและปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามกระแสของโลกแต่ละยุค และมีบทบาทสำคัญในอนาคตต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านกลไกที่มีความหลากหลายและครอบคลุมความเสี่ยงในทุกประเภท พร้อมได้เห็นภาพของการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายสำคัญต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน นำสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่ยั่งยืนต่อไป” เลขาธิการ คปภ.ระบุ.