อาเซียนยันสร้างพื้นที่การค้าเสรีใหญ่สุดในโลก
ผู้นำกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศและ 6 ประเทศคู่ค้าสำคัญให้ปฎิญาณร่วมกันว่าจะสร้างพื้นที่การค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปีหน้าคือ ความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (RCEP)
“ งานสำคัญคือการเจรจา RCEP ที่กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนมากขึ้นและแรงต้านสำคัญที่กระทบเศรษฐกิจทั่วโลก” บรรดาผู้นำระบุในแถลงการณ์หลังการประชุมซัมมิต RCEP
“ เรามีข้อผูกพันร่วมกันเพื่อทำให้เกิด RCEP อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เป็นระบบการค้าที่เปิดกว้างและครอบคลุม เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดการตกลงทางการค้าสำหรับเราทุกคน” อ้างอิงจากแถลงการณ์
นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงแห่งสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศเจ้าภาพในการจัดประชุมระบุว่า เขามีกำลังใจมากขึ้นว่าเจตนาทางการเมืองที่แข็งแกร่งจะแสดงให้เห็นถึงการเจรจาที่มีกระบวนการที่ยั่งยืนและก้าวหน้า
มีการเพิ่มเนื้อเนื้อหาอีก 5 บทของความตกลงในปีนี้ ทำให้ทั้งหมดกลายเป็น 7 บท และมี “ความก้าวหน้าครั้งสำคัญ” จากการเจรจาในหลายส่วนของกฎระเบียบการค้า
การเจรจาเพื่อเข้าถึงตลาดมีความก้าวหน้าขึ้นอย่างสำคัญ ทำให้ดีลใกล้ที่จะเสร็จสมบูรณ์ในปีหน้า“ ตอนนี้เราอยู่ระหว่างการเจรจาในขั้นตอนสุดท้าย” ผู้นำสิงคโปร์กล่าว“ ด้วยการสร้างโมเมนตัมที่แข็งแกร่งในปีนี้ ผมมีความยินดีที่จะแจ้งว่าการเจรจา RCEP พร้อมที่จะบรรลุได้ในปี 2562” นายกฯลีกล่าว
ในการกล่าวสุนทรพจน์กับบรรดาผู้นำ นายกฯลีชี้ว่า การเจรจาใช้เวลานานกว่าปกติ จากความท้าทายในการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ขนาดใหญ่“ คาดการณ์ว่าจะมีความซับซ้อนเนื่องจากเราเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่หลากหลาย สำหรับบางประเทศ นี่เป็นการทำ FTA ครั้งแรกซึ่งกันและกัน แต่เมื่อถึงบทสรุปแล้ว ผลประโยชน์จะเท่าเทียมกัน” เขากล่าว“ ผลลัพธ์สำคัญสำหรับ RCEP จะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจในภูมิภาคของเราที่ยังมีข้อผูกพันที่จะสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมธุรกิจและเป็นมิตรกับนักลงทุน” เขาเสริม
RCEP คิดเป็น 45% ของประชากรทั่วโลก 40% ของการค้าโลก และ 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก โดยการเจรจาเริ่มต้นขึ้นในปี 2556 มีการกำหนดเป้าหมายเริ่มต้นในการรวมกันให้ได้ในปี 2558 แต่มีการเลื่อนมาแล้วหลายครั้ง รวมทั้งในปีนี้ด้วย
นายกฯลีย้ำว่าการพูดคุยเข้าสู่ปีที่ 6 ในปัจจุบัน และกระตุ้นให้ผู้นำเห็นความสำคัญโดยระบุว่า “ การเจรจาที่ยาวนานของ RCEP ทำให้มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียความเชื่อถือและการสนับสนุนจากกลุ่มผู้ถือหุ้นของเรา และยังหมายถึงการสูญเสียโอกาสสำคัญที่จะนำผลประโยชน์มาสู่ธุรกิจและประชาชนของเรา”
นายกรัฐมนตรีสก็อต มอร์ริสันแห่งออสเตรเลียกระตุ้นประเทศสมาชิกให้เข้าใจว่าการทำความตกลงนี้มีขนาดใหญ่กว่าครั้งอื่น และนายกฯลีระบุว่า เขามีความเชื่อมั่นในข้อผูกพันว่าจะนำผลประโยชน์ที่มีคุณภาพสูง เพื่อกันและกันของ RCEP ในปีหน้า เขายังได้ขอบคุณอินโดนีเซียสำหรับความเป็นผู้นำในการเป็นประเทศผู้ประสานงานให้ RCEP
ชานชุนซิง รมว.การค้าและอุตสาหกรรมกล่าวในการแถลงข่าวหลังการประชุมว่า บรรดาผู้นำได้แสดงท่าทีให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะมีการบรรลุการเจรจาในปีหน้า
ขณะที่บางประเทศสมาชิก ทั้งอินโดนีเซียและอินเดีย กำลังจะจัดการเลือกตั้งในปีหน้า รมว.ชานระบุว่า เขามองในแง่ดีว่ากระบวนการเลือกตั้งจะไม่ส่งผลกระทบกับความก้าวหน้าในการเจรจา
“ ผลประโยชน์ของ RCEP คือเพื่อหลายประเทศ ในช่วงต้นปี 2561 ที่ผ่านมา มีไม่กี่ประเทศที่คิดภาพออกถึงผลลัพธ์ที่เราจะบรรลุได้ในช่วงสิ้นปีนี้” เขาเสริม โดยอ้างถึงการเป็นประธานอาเซียนของสิงคโปร์ในปีนี้
“ นี่ไม่อาจเป็นไปได้หากปราศจากความร่วมมือและการสนับสนุนจากบรรดารัฐมนตรี และผู้นำจากทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง” เขาเสริม