เปิด 4 ประเด็นหลัก “ก้าวไกล” งัดสู้ คดียุบพรรค
พรรคก้าวไกล ส่งคำชี้แจงไปยังศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 9 ประเด็น โดยมี 4 ประเด็นสำคัญ
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดแนวทางการต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล โดยชี้แจงข้อต่อสู้ทั้งในแง่ของเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ กระบวนการ ข้อเท็จจริง และสัดส่วนโทษ โดยพรรคก้าวไกลได้ส่งคำชี้แจงไปยังศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 9 ประเด็น โดยมี 4 ประเด็นสำคัญได้แก่
1) ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้
พรรคก้าวไกลยืนยันในสิ่งที่ต่อสู้มาแล้วตั้งแต่คดียุบพรรคอนาคตใหม่ นั่นคือขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่าศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และอำนาจเฉพาะ คือ (1) พิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมาย (2) พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ และ (3) หน้าที่และอำนาจอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ในรัฐธรรมนูญมาตราอื่นๆ ไม่มีข้อใดที่บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองเลย รวมถึงไม่ได้เปิดช่องให้ออกกฎหมายเพิ่มอำนาจอื่นให้ศาลรัฐธรรมได้อีก การที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยอ้างว่าตนเองมีอำนาจยุบพรรคตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.พรรคการเมืองนั้น เป็นการอ้างกฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
2) กระบวนการยื่นคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบที่ตนกำหนดให้ผู้ถูกร้องต้องมีโอกาสได้รับทราบ โต้แย้ง หรือแสดงพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาก่อนแต่อย่างใด โดยพิธาย้ำว่า กกต.ยื่นคำร้องยุบพรรคตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ มาตรา 92 ซึ่งต้องดำเนินการประกอบกับมาตรา 93 ที่ระบุว่า เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าพรรคการเมืองใดกระทำการตามมาตรา 92 ให้นายทะเบียนรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน พร้อมทั้งเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อพิจารณา ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการฯ กำหนด
ในประเด็นนี้ กกต.ได้กำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่าการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อยื่นยุบพรรคนั้น ต้องเป็นไปตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566
ระเบียบดังกล่าวเขียนไว้ชัดเจนว่า บุคคลและคณะบุคคลที่นายทะเบียนแต่งตั้งต้องให้พรรคการเมืองมีโอกาสรับทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนก่อนมีการเสนอรายงานรวบรวมข้อเท็จจริงต่อนายทะเบียนพิจารณา และเมื่อนายทะเบียนพิจารณาข้อเท็จจริงเสร็จแล้ว มีหลักฐานอันสมควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการตามมาตรา 92 ก็ให้เสนอ กกต.พิจารณา และในกรณีที่ กกต.เห็นชอบตามความเห็นของนายทะเบียน จึงจะสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้สั่งยุบพรรคได้
ทั้งหมดนี้เป็นหลักเกณฑ์ที่ กกต.กำหนดเป็นระเบียบออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งแตกต่างจากคดียุบพรรคอนาคตใหม่และพรรคไทยรักษาชาติ ที่ยังไม่มีระเบียบนี้ออกมา
ซึ่งกระบวนการนี้ไม่เคยเกิดขึ้น พรรคก้าวไกลไม่เคยมีโอกาสได้รับทราบข้อเท็จจริง โต้แย้ง หรือนำพยานหลักฐานเข้าสู่กระบวนการของ กกต. เพราะฉะนั้นการยื่นคำร้องในคดีนี้ขัดกับระเบียบที่ กกต.ตราขึ้นเอง และไม่ชอบด้วยกฎหมาย พอเป็นมาตรา 92 ต้องลงมาที่นายทะเบียนพรรค ไม่ได้หมายความว่า กกต.เห็นว่ามีข้อมูลเพียงพอแล้วฟ้องได้เองเลย โดยไม่ต้องคำนึงถึงมาตรา 93 กระบวนการยื่นคำร้องของ กกต.ในคดีนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
3) ในการพิจารณายุบพรรคก้าวไกลต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ จะอ้างว่าข้อเท็จจริงที่กล่าวหาพรรคล้มล้างการปกครองเป็นที่ยุติแล้วตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ไม่ได้
ทั้งนี้ คำวินิจฉัยในคดีก่อนไม่ผูกพันกับการวินิจฉัยคดีนี้ เนื่องจากเป็นคดีที่มีข้อหาต่างกันและระดับโทษก็ต่างกัน มาตรฐานในการพิจารณาคดีจึงต้องมีความเข้มข้นแตกต่างกัน
ดังนั้น ในคดียุบพรรคการเมือง ไม่ใช่แค่สั่งให้เลิกการกระทำ จำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่ทั้งหมด ด้วยมาตรฐานการพิสูจน์ที่สูงกว่าคดีก่อน จึงจะถูกต้องตามหลักกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการกระทำตามที่กล่าวหานั้นเป็นการกระทำของพรรคจริงหรือไม่ และการกระทำเหล่านั้นเป็นการล้มล้างการปกครองหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองฯ จริงหรือไม่
4) แม้โทษยุบพรรคจะมีได้ในระบอบประชาธิปไตย แต่ต้องมีไว้เพื่อปกป้องประชาธิปไตย
พรรคการเมืองมีความสำคัญในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น มาตรการยุบพรรคจึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง ด้วยความอดทนอดกลั้น ได้สัดส่วนกับการกระทำผิด และเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อไม่มีมาตรการอื่นยับยั้งการกระทำที่เห็นว่าเป็นล้มล้างการปกครองได้แล้วเท่านั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ฉากทัศน์ ก้าวไกลโดนยุบ ซื้อตัวงูเห่า-พรรคต่ำร้อย